วันศุกร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2566

ไทยพลัสนิวส์ น้ำแร่ มีประโยชน์มากกว่า น้ำเปล่า จริง?

 ไทยพลัสนิวส์ น้ำแร่ มีประโยชน์มากกว่า น้ำเปล่า จริง?
ไทยพลัสนิวส์ น้ำแร่ มีประโยชน์มากกว่า น้ำเปล่า จริง? เราอาจจะเคยเห็นโฆษณาเกี่ยวกับการ ดื่มน้ำแร่ ตามธรรมชาติ ผ่านทางสื่อกันมาบ้างไม่มากก็น้อย น้ำแร่เหล่านี้มักจะโฆษณากันว่ามีประโยชน์ต่อร่างกาย และเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการดื่มน้ำเปล่าธรรมดา




ไทยพลัสนิวส์ น้ำแร่ มีประโยชน์มากกว่า น้ำเปล่า จริง?

น้ำแร่ มีประโยชน์มากกว่า น้ำเปล่า จริง?

แต่ความจริงแล้ว การดื่มน้ำแร่ ดีต่อสุขภาพจริงอย่างที่เขาว่ากันหรือเปล่า น้ำแร่มีประโยชน์มากกว่าน้ำเปล่าจริงหรือ หาคำตอบได้จากบทความนี้


น้ำแร่ คืออะไร

น้ำแร่ (Mineral water) หมายถึงน้ำที่ได้จากแหล่งน้ำพุตามธรรมชาติ น้ำเหล่านี้เป็นน้ำที่สะสมอยู่ใต้พื้นดิน และผุดขึ้นมาในบริเวณตาน้ำ ซึ่งจะกลายเป็นแหล่งน้ำตามธรรมชาติ เช่น แม่น้ำ คลอง บึง หรือทะเลสาบ ขึ้นอยู่กับปริมาณของน้ำและสภาพภูมิศาสตร์โดยรอบ

เช่นเดียวกันกับชื่อ น้ำแร่นั้นเป็นน้ำที่มีแร่ธาตุผสมอยู่ ซึ่งชนิดและปริมาณของแร่ธาตุที่อยู่ในน้ำแร่นั้น อาจจะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับว่าเป็นน้ำที่ได้จากแหล่งใด แต่โดยปกติแล้ว แร่ธาตุที่สามารถพบได้บ่อยๆ ในน้ำแร่ มักจะเป็นแร่ธาตุดังต่อไปนี้

แคลเซียม (Calcium)

แมกนีเซียม (Magnesium)

ไบคาร์บอเนต (Bicarbonate)

โซเดียม (Sodium)

โพแทสเซียม (Potassium)

คลอไรด์ (Chloride)

ฟลูออไรด์ (Fluoride)

นอกจากนี้ ในน้ำแร่ก็อาจจะมีส่วนผสมของคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon dioxide) ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ทำให้มีลักษณะซ่าคล้ายกับน้ำอัดลม แต่คาร์บอนไดออกไซด์เหล่านี้มักจะถูกกำจัดออกไปในระหว่างกระบวนการบรรจุขวด ทำให้ได้น้ำแร่ที่ไม่ซ่า และ มีรสสัมผัสเหมือนกับน้ำเปล่าทั่วไปนั่นเอง

องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) ได้ตั้งข้อกำหนดเกี่ยวกับน้ำแร่ว่า จะต้องเป็นน้ำที่มีแร่ธาตุอยู่ไม่ต่ำกว่า 250 ส่วนต่อล้าน และไม่อนุญาตให้เติมแต่งแร่ธาตุเพิ่มเติมในระหว่างการบรรจุขวด จึงจะสามารถเรียกได้ว่าเป็นน้ำแร่ธรรมชาติ



ข้อดีของการดื่ม น้ำแร่

ดีต่อสุขภาพกระดูกและฟัน

ภายในน้ำแร่นั้นมักจะมีแร่แคลเซียมในปริมาณที่ค่อนข้างสูง ซึ่งแคลเซียมนี้ก็เป็นส่วนประกอบสำคัญในการดูแลรักษาความแข็งแรงของกระดูกและฟัน การดื่มน้ำแร่จึงทำให้ร่างกายของเราได้รับแคลเซียมมากขึ้น แตกต่างจากการดื่มน้ำเปล่าที่ไม่มีแคลเซียมนั่นเองฟลูออไรด์ที่มีอยู่ในน้ำแร่ยังสามารถช่วยปกป้องฟันได้อีกด้วย

ดีต่อสุขภาพหัวใจ

มีงานวิจัยที่พบว่า การดื่มน้ำแร่อาจสามารถ ช่วยลดระดับของคอเลสเตอรอล (Cholesterol) ภายในเลือด เพิ่มปริมาณของไขมันดี(HDL) นอกจากนี้ โพแทสเซียมที่สามารถพบได้ในน้ำแร่ ก็ยังอาจสามารถช่วยลดความดันโลหิต ซึ่งล้วนแล้วแต่ก็ดีต่อสุขภาพหัวใจ ด้วยกันทั้งสิ้น

ช่วยแก้อาการท้องผูก

น้ำแร่ที่มีแมกนีเซียมสูง อาจสามารถช่วยป้องกัน และ รักษาอาการท้องผูกได้ โดยการช่วยดูดซึมน้ำมาสู่ลำไส้ และ ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ของลำไส้ ทำให้อุจจาระนิ่ม และ ขับถ่ายได้ง่ายขึ้น

ข้อเสียของการดื่ม น้ำแร่

อาจมีอาการท้องไส้ปั่นป่วน

บางคนที่ดื่มน้ำแร่อาจจะมีอาการท้องไส้ปั่นป่วน ปวดท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ เนื่องจากในน้ำแร่ นั้นมักจะมีคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ตามธรรมชาติ โดยเฉพาะ ผู้ที่เป็นโรคกรดไหลย้อน ควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำที่มีคาร์บอนไดออกไซด์

อาจมีการปนเปื้อนของไมโครพลาสติก

น้ำแร่ตามธรรมชาติที่หาซื้อได้ส่วนใหญ่นั้น มักจะบรรจุอยู่ในขวดน้ำพลาสติก ขึ้นทำให้อาจมีการปนเปื้อน ของไมโครพลาสติก(Microplastics) หรือพลาสติกขนาดเล็ก ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้

น้ำแร่ มีประโยชน์มากกว่า น้ำเปล่า จริง?

หลายคนเชื่อว่า การดื่มน้ำแร่ นั้นได้ประโยชน์ มากกว่าการดื่มน้ำเปล่าธรรมดา เนื่องจากในน้ำแร่นั้นมีสารอาหารและแร่ธาตุต่างๆมากมาย จึงน่าจะดีกว่าการดื่มน้ำเปล่า ซึ่งเป็นน้ำบริสุทธิ์ที่ไม่มีแร่ธาตุ และ สารอาหารใด ๆ อยู่เลย

แต่ในความเป็นจริงแล้ว แม้ว่าการดื่มน้ำแร่อาจจะให้สารอาหาร ที่มากกว่าการดื่มน้ำเปล่าก็จริง แต่ปริมาณของแร่ธาตุ ที่สามารถพบได้ในน้ำแร่นั้น ก็ไม่ได้มากมายหรือแตกต่างไปจากแร่ธาตุ ที่เราอาจจะได้รับจากการรับประทานอาหารตามปกติเลย การดื่มน้ำแร่อาจจะแค่มีส่วนช่วยเพิ่มปริมาณของแร่ธาตุเหล่านั้น แต่ก็ไม่ได้มีปริมาณมากเป็นพิเศษ พอที่จะส่งผลอะไรต่อร่างกาย

ในทางกลับกัน บางคนที่เชื่อว่าการดื่มน้ำแร่ดีกว่าน้ำเปล่า ก็อาจจะดื่มน้ำแร่ ในปริมาณที่มากเกินไป จนส่งผลให้เกิดภาวะน้ำเป็นพิษซึ่งอาจกลายเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้

และนี่ก็คือบทสรุปว่า น้ำแร่ มีประโยชน์มากกว่า น้ำเปล่า จริง?

สุดท้ายนี้ น้ำแร่ก็เป็นเพียงแค่อีกทางเลือกหนึ่ง ที่ช่วยเสริมสารอาหารที่ร่างกายต้องการ หากคุณอยากเลือกที่จะดื่มน้ำแร่ แทนการดื่มน้ำเปล่า ก็ควรเลือกดื่มแต่พอดี และ รับประทานอาหารอื่น ๆ ให้ครบหลักห้าหมู่เสียด้วย ร่างกายของเราจะได้รับสารอาหาร ที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายนั่นเอง

อ้างอิง sanook 

อ่านบทความเพิ่มเติม




ไทยพลัสนิวส์ 9 ผลไม้น้ำตาลน้อย

 ไทยพลัสนิวส์ 9 ผลไม้น้ำตาลน้อย อร่อย ช่วยลดน้ำหนักดีต่อสุขภาพ

ไทยพลัสนิวส์ 9 ผลไม้น้ำตาลน้อย ผลไม้นอกจากจะเป็นแหล่งของสารอาหารสำคัญอย่างวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระต่างๆ แล้ว ผลไม้ก็ยังมีน้ำตาลอยู่ด้วย ซึ่งถ้าหากเลือกรับประทานผลไม้ที่มีน้ำตาลสูงและต้องการผลลัพธ์ในการควบคุมอาหารหรือลดน้ำหนัก การกินผลไม้ที่มีน้ำตาลสูงก็อาจจะให้ผลตรงกันข้ามก็ได้ มากไปกว่านั้นยังอาจเสี่ยงต่อระดับน้ำตาลในเลือดสูงสำหรับผู้ที่ป่วยเป็นเบาหวานอีกด้วย เพราะฉะนั้นถ้าใครที่กำลังอยู่ในช่วงควบคุมแคลอรี่ ต้องการลดน้ำตาล ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด หรืออยากลดน้ำหนักล่ะก็ Hello คุณหมอ ได้รวบรวมเอา ผลไม้น้ำตาลน้อย มาฝาก





ผลไม้น้ำตาลน้อย ช่วยลดน้ำหนัก

มะนาว หรือ เลมอน

มะนาว หรือ เลมอน เป็นผลไม้ที่ให้รสชาติเปรี้ยวถึงเปรี้ยวจี๊ด กัดเข้าไปแค่เพียงเสี้ยวเดียวก็ทำเอาน้ำลายหก เปรี้ยวจนต้องหลับตากันเลยทีเดียว ซึ่งผลไม้จำพวกมะนาวหรือเลมอนนี้จะให้สารอาหารประเภทวิตามินโดยเฉพาะวิตามินซีในปริมาณที่สูงมาก แต่ในทางกลับกันคือ มะนาว หรือ เลมอน จะให้น้ำตาลในปริมาณที่น้อยมาก

มะนาว หรือ เลมอน หนึ่งลูก ให้ปริมาณน้ำตาลเพียง 1-2 กรัมเท่านั้น อย่างไรก็ตาม หากเลือกรับประทานเป็นน้ำมะนาวหรือน้ำเลมอน ก็อาจจะต้องระวังว่าจะได้น้ำตาลเพิ่มไปจากนี้ เพราะอาจมีการเพิ่มน้ำตาลหรือน้ำเชื่อมเพื่อลดความเปรี้ยวของผลไม้ได้

เบอร์รี่ต่างๆ

ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ เช่น สตรอว์เบอร์รี่ แบล็คเบอร์รี่ หรือราสเบอร์รี่ แม้จะมีรสชาติออกหวานอมเปรี้ยว แต่ก็จัดว่าเป็นอีกหนึ่ง ผลไม้น้ำตาลต่ำ แต่ให้วิตามินซีสูง โดยการกินเบอร์รี่ชนิดใดชนิดหนึ่งเพียงหนึ่งถ้วย จะได้น้ำตาลแค่เพียง 5-7 กรัมเท่านั้นเอง

แตงโม

อ่านถึงตรงนี้หลายคนคงจะขมวดคิ้วสงสัยอยู่ไม่น้อย แตงโมที่หวานฉ่ำขนาดนั้นน่ะหรือ ที่มีน้ำตาลน้อย คำตอบคือใช่แล้วค่ะ แม้ว่าแตงโมจะมีรสชาติที่หวานจับใจมากแค่ไหน แต่การรับประทานแตงโมหั่นเต๋าหนึ่งถ้วย ให้ปริมาณน้ำตาลไม่ถึง 10 กรัมด้วยซ้ำ เรียกได้ว่าถ้าใครที่กำลังอยู่ในช่วงงดน้ำตาล แต่ก็ยังต้องการความหวานอยู่บ้าง แตงโมคือคำตอบนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย

เกรปฟรุต

เกรปฟรุต เป็นผลไม้ตระกูลส้ม ตระกูลเดียวกับซิตรัส (Citrus) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งผลไม้ที่ให้วิตามินซีสูง แต่มีน้ำตาลน้อย โดยการรับประทานเกรปฟรุตขนาดกลางครึ่งผล ให้น้ำตาลแค่เพียง 9 กรัมเท่านั้น

กีวี่

กีวี่ เป็นผลไม้ที่สามารถหารับประทานได้ตลอดทั้งปี และยังเป็นอีกหนึ่ง ผลไม้น้ำตาลต่ำ แต่ให้วิตามินสูง  โดยกีวี่หนึ่งลูก ให้ปริมาณของน้ำตาลเพียง 6 กรัมเท่านั้นเอง อย่างไรก็ตาม ควรระวังกีวี่อบแห้ง เพราะอาจมีส่วนผสมของน้ำตาล อาจจะได้ปริมาณน้ำตาลมากกว่าการกินกีวี่แบบสด





ฝรั่ง

ฝรั่งเป็นผลไม้ที่ให้วิตามินซีสูงมาก ถ้าหากไม่รับประทานส้ม การกินฝรั่งก็ได้วิตามินซีในปริมาณที่สูงเหมือนกัน แต่นอกจากวิตามินซีสูงแล้ว ฝรั่งก็ยังให้ไฟเบอร์สูงอีกด้วย ซึ่งดีต่อระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่ายอย่างยิ่ง

มากไปกว่านั้น การกินฝรั่งหนึ่งผล จะได้น้ำตาลประมาณ 4.9 กรัมเพียงเท่านั้นเอง แต่…ใครที่ชอบกินฝรั่งจิ้มบ๊วยหรือจิ้มพริกเกลือ ก็อาจจะต้องระวังว่าจะได้น้ำตาลสูงกว่านี้

แอปริคอต

แอปริคอต เป็นผลไม้ที่นิยมนำมาอบหรือตากแห้ง แช่อิ่ม แช่บ๊วย หรือเชื่อม เพื่อที่จะได้ถนอมไว้รับประทานได้นานๆ ซึ่งนั่นก็อาจจะทำให้แอปริคอตที่ผ่านกรรมวิธีในการถนอมอาหารมีน้ำตาลสูงได้

การกินแอปริคอตสดเพียงหนึ่งผล(ขนาดเล็ก) จะได้ปริมาณน้ำตาลแค่เพียง 3.2 กรัมเท่านั้น ถ้าใครอยู่ระหว่างควบคุมน้ำตาลล่ะก็ เลือกกินแอปริคอตแบบสดอาจจะดีกว่าแอปริคอตที่อบแห้งหรือเชื่อมมาแล้ว

อะโวคาโด

อะโวคาโด เป็นหนึ่งในผลไม้ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของประโยชน์ที่ดีต่อสุขภาพ และมักปรากฏในสูตรอาหารเพื่อสุขภาพต่างๆ อยู่เสมอ และแน่นอนว่าอะโวคาโดก็เป็นอีกหนึ่ง ผลไม้น้ำตาลต่ำ ด้วย เพราะการกินอะโวคาโดหนึ่งผล ให้ปริมาณน้ำตาลเพียง 1 กรัมเท่านั้น

มะเดื่อฝรั่ง

สำหรับมะเดื่อฝรั่ง อาจจะไม่ค่อยเป็นที่คุ้นเคยกันเท่าไหร่นักสำหรับบ้านเรา แต่มะเดื่อฝรั่งนี้จัดว่าเป็นหนึ่งในผลไม้ที่ดีที่สุดในโลก เพราะให้สารอาหารที่หลากหลาย ทั้งวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระ แต่ในส่วนของปริมาณน้ำตาลนั้นจะให้เพียง 6.5 กรัม (ต่อมะเดื่อฝรั่งผลเล็ก 1 ผล) เท่านั้นเอง

การรับประทานผลไม้หนึ่งในพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่ดี เนื่องจากสารอาหารในผลไม้จะช่วยเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรงได้ แต่ถ้าหากมีอาการทางสุขภาพที่เกี่ยวเนื่องกับระดับน้ำตาลในเลือด เช่น เป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรืออาจกำลังงดกินหวานเพื่อลดน้ำหนัก การเลือกรับประทาน ผลไม้น้ำตาลต่ำ อาจเป็นทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพมากกว่า

ผลไม้รวม 9 ผลไม้น้ำตาลน้อย

อ้างอิง : Hello คุณหมอ

อ่านบทความเพิ่มเติม




ไทยพลัสนิวส์ ไส้ของขนมไหว้พระจันทร์

‘ขนมไหว้พระจันทร์’ แต่ละไส้ สื่อ ความหมาย ถึงอะไร
ไทยพลัสนิวส์ ไส้ของขนมไหว้พระจันทร์ ที่เป็นสิริมงคล สำหรับไหว้ รับประทาน หรือมอบให้แก่กัน ใน วันไหว้พระจันทร์





วันไหว้พระจันทร์ 2566 ตรงกับวันศุกร์ที่ 29 ก.ย. 2566 ซึ่งเทศกาล ไหว้พระจันทร์ ของทุกปี ทุก ๆ ครัวเรือนจะซื้อ ขนมไหว้พระจันทร์ มาไหว้พระจันทร์ พร้อมกับการชมพระจันทร์ จนกลายเป็นประเพณีของจีนมาโดยตลอด ขนมไหว้พระจันทร์ จึงนับเป็นสิ่งสำคัญในคืน วันไหว้พระจันทร์ ซึ่งเดิมที ขนมไหว้พระจันทร์ จะมีไส้ให้เลือกรับประทานกันได้ไม่มากนัก แต่ปัจจุบันมีการปรับสูตรเป็นไส้ต่าง ๆ มากมาย แต่รู้หรือไม่ว่า ไส้ของขนมไหว้พระจันทร์ทุกชิ้นนั้น ล้วนมีความหมายมงคลที่แตกต่างกันออกไป วันนี้จะพาไปดูกันว่า แต่ละไส้นั้นสื่อความหมายอย่างไรกันบ้าง

เทศกาล ไหว้พระจันทร์ มีชื่อทางการภาษาจีนว่า “จงชิวเจี๋ย” หรือ “ตงชิวโจ็ยะ” ในภาษาแต้จิ๋ว หมายถึง กึ่งกลางฤดูสารท จึงเรียกกันว่าเทศกาล “ปาเย่ว์ปั้น” แปลว่า “กลางเดือนแปด” หรือ “ปาเย่ว์เจี๋ย” หรือ “เทศกาลเดือนแปด” วันไหว้พระจันทร์ นี้ จึงถือเป็นหนึ่งวันสำคัญประจำปีตามธรรมเนียมของชาวจีนอีกวันหนึ่ง



ไทยพลัสนิวส์ ไส้ของขนมไหว้พระจันทร์

เพื่อเป็นการฉลอง และรำลึกการกอบกู้แผ่นดินที่ประสบความสำเร็จ ประเพณีรับประทาน ขนมไหว้พระจันทร์ ใน วันไหว้พระจันทร์ จึงมีการสืบทอดกันตลอดมาจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าแห่งหนใดที่มีชาวจีนเดินทางไปถึง ก็จะพาประเพณีรับประทานขนมไหว้พระจันทร์ ไปด้วย



ไทยพลัสนิวส์ ไส้ของขนมไหว้พระจันทร์

ขนมไหว้พระจันทร์ ไส้ไข่แดง  สื่อ ความหมาย ถึง ความอุดมสมบูรณ์ ก่อเกิดความโชคดี

ขนมไหว้พระจันทร์ ไส้ไหงวยิ้ง หรือ ธัญพืช เป็นสัญลักษณ์ของโชคลาภ และความอุดมสมบูรณ์

ขนมไหว้พระจันทร์ ไส้ลูกพลัม หรือ ลูกพรุน  เป็นสัญลักษณ์ของความกล้าหาญและความหวัง

ขนมไหว้พระจันทร์ ไส้ทุเรียน สื่อ ความหมายถึง ความฉลาดหลักแหลม เข้มแข็ง

ขนมไหว้พระจันทร์  ไส้ทุเรียนไข่เค็ม เป็นสัญลักษณ์ของความรักและความอุดมสมบูรณ์

ขนมไหว้พระจันทร์ ไส้เกาลัด สื่อ ความหมาย ถึงลูกชาย และสิ่งอันเป็นที่รัก

ขนมไหว้พระจันทร์ ไส้ถั่วแดง สื่อ ความหมาย ถึงการเพิ่มพูนความกล้าหาญ

ขนมไหว้พระจันทร์ ไส้พุทราจีน สื่อ ความหมาย ถึงความเจริญรุ่งเรือง ความอุดมสมบูรณ์

ข้อมูลจาก คมชัดลึกออนไลน์

อ่านบทความเพิ่มเติม




ไทยพลัสนิวส์ ประเทศที่เน็ตเร็วที่สุดในโลก

 ประเทศที่เน็ตเร็วที่สุดในโลก 2023 เน็ตบ้านไทยติดอันดับ Top 5
ไทยพลัสนิวส์ ประเทศที่เน็ตเร็วที่สุดในโลก 10 อันดับประเทศที่เน็ตเร็วที่สุดในโลก 2023 เผยอินเทอร์เน็ตบ้านประเทศไทยแรงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก



ยิ่งเวลาผ่านไป เทคโนโลยีต่าง ๆ ก็ยิ่งถูกพัฒนาให้มีความก้าวล้ำมากขึ้น ซึ่งความเร็วของอินเทอร์เน็ตก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ ทั้งอินเทอร์เน็ตมือถือและอินเทอร์เน็ตบ้าน และในวันนี้เราก็มีข้อมูลเกี่ยวกับประเทศที่เน็ตเร็วที่สุดในโลก 2023 มาฝากกัน ซึ่งเป็นสถิติที่ทางเว็บไซต์ Speedtest.net ได้บันทึกไว้ในเดือนสิงหาคม ปี 2023 โดยเน็ตมือถือทั่วโลกจะมีความเร็วเฉลี่ยอยู่ที่ Download 43.20Mbps / Upload 10.23Mbps ส่วนเน็ตบ้านทั่วโลกความเร็วเฉลี่ยอยู่ที่ Download 82.77Mbps / Upload 37.53Mbps และสำหรับประเทศที่ติด 10 อันดับเน็ตแรงที่สุดในโลกมีดังต่อไปนี้


ไทยพลัสนิวส์ 10 อันดับ ประเทศที่เน็ตเร็วที่สุดในโลก 2023

อันดับ 1 – สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (210.89Mbps)

อันดับ 2 – กาตาร์ (192.71Mbps)

อันดับ 3 – คูเวต (153.86Mbps)

อันดับ 4 – นอร์เวย์ (134.45Mbps)

อันดับ 5 – เดนมาร์ก (124.00Mbps)

อันดับ 6 – จีน (122.89Mbps)

อันดับ 7 – เกาหลีใต้ (120.08Mbps)

อันดับ 8 – มาเก๊า (112.33Mbps)

อันดับ 9 – ไอซ์แลนด์ (110.02Mbps)

อันดับ 10 – เนเธอร์แลนด์ (107.42Mbps)

อันดับ 59 – ประเทศไทย (40.06Mbps)

ไทยพลัสนิวส์ ประเทศที่เน็ตเร็วที่สุดในโลก



10 อันดับประเทศที่เน็ตบ้านเร็วที่สุดในโลก 2023

อันดับ 1 – สิงคโปร์ (254.65Mbps)

อันดับ 2 – ฮ่องกง (243.59Mbps)

อันดับ 3 – ชิลี (240.43Mbps)

อันดับ 4 – สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (240.25Mbps)

อันดับ 5 – ประเทศไทย (212.68Mbps)

อันดับ 6 – สหรัฐอเมริกา (210.40Mbps)

อันดับ 7 – จีน (200.53Mbps)

อันดับ 8 – เดนมาร์ก (199.50Mbps)

อันดับ 9 – สเปน (176.74Mbps)

อันดับ 10 – ไอซ์แลนด์ (173.45Mbps)

นอกจากนี้ถ้าหากอ้างอิงจากอันดับความเร็วอินเทอร์เน็ตโดยแบ่งเป็นแต่ละเมืองแล้ว กรุงเทพฯ ของประเทศไทย ยังเป็นเมืองที่เน็ตแรงที่สุดติดอันดับ 6 ของโลกด้วยเช่นกัน โดยมีความเร็วเฉลี่ยอยู่ที่ 229.31Mbps

ข้อมูลจาก KAPOOK

อ่านบทความเพิ่มเติม




ไทยพลัสนิวส์ 2 สูตรขนมไหว้พระจันทร์

 ไทยพลัสนิวส์ ขอพาไปดูสูตร 2 สูตรขนมไหว้พระจันทร์ เสริมความมงคล ทำเองได้ไม่ต้องซื้อ
ไทยพลัสนิวส์ ขอเสนอ 2 สูตรขนมไหว้พระจันทร์ รสชาติหวานกินเพลิน สำหรับไหว้พระจันทร์เพื่อขอพรและเสริมสิริมงคลแก่ตัวเองและครอบครัว ทำเองได้เลย





ขนมไหว้พระจันทร์

เทศกาลไหว้พระจันทร์ มีเพียงปีละครั้ง นอกจากไหว้อาหารและผลไม้แล้ว ขนมไหว้พระจันทร์ก็ขาดไม่ได้เลย ใครอยากจะทำขนมไหว้พระจันทร์ ทั้งไหว้เองและกินเอง เรามีมาแนะนำ ได้แก่ ขนมไหว้พระจันทร์ไส้ทุเรียนไข่เค็ม ไส้คัสตาร์ด และขนมไหว้พระจันทร์วุ้นชาไทย


ประวัติวันไหว้พระจันทร์

ต้นกำเนิดของเทศกาลนี้ไม่เป็นที่ปรากฏแน่ชัด บ้างก็ว่า จักรพรรดิวู แห่งราชวงศ์ฮั่น เป็นผู้ริเริ่มการฉลองเพื่อกราบไหว้พระจันทร์เป็นเวลา 3 วัน ในฤดูใบไม้ร่วงนี้

ขณะที่บางประวัติศาสตร์กล่าวว่า เทศกาลไหว้พระจันทร์ เกิดขึ้นในราวปี พ.ศ. 1911 ในช่วงมองโกลยึดครองจีน ขนมเค้กที่ทำขึ้นก็เพื่อซุกซ่อนข้อความลับของพวกกบฏ ที่มีถึงประชาชนทั่วทั้งประเทศให้มาชุมนุมกันครั้งใหญ่ โดยทหารมองโกลไม่ได้ระแวงถึงจุดประสงค์ของพวกกบฏ เพราะคิดว่าขนมเค้กเหล่านั้นเป็นการทำตามประเพณีดั้งเดิมของชาวจีน ด้วยเหตุนี้ในคืนนั้นเองทหารมองโกลจึงถูกปราบเสียราบคาบ หลังจากที่ราชวงศ์ใหม่คือราชวงศ์หมิงได้ถูกจัดตั้งขึ้นแล้ว วันไหว้พระจันทร์จึงถือปฏิบัติกันมาจนถึงทุกวันนี้



ไหว้พระจันทร์ ทำอย่างไร

การไหว้พระจันทร์ จะเริ่มต้นตอนหัวค่ำ ซึ่งดวงจันทร์เริ่มปรากฏบนท้องฟ้า และถึงแม้ปีไหนหรือสถานที่แห่งใดมองไม่เห็นพระจันทร์ แต่การไหว้พระจันทร์ของชาวจีนก็จะยังต้องมีการไหว้พระจันทร์ในค่ำคืนนั้นเหมือนเดิม พิธีจะดำเนินไปจนถึงประมาณ 4-5 ทุ่ม หลังเสร็จพิธีทุกคนในครอบครัวจะตั้งวงแบ่งกันกินขนมไหว้พระจันทร์ โดยขนมต้องนำมาหั่นแบ่งให้เท่ากับจำนวนคนในครอบครัว ห้ามเกินหรือขาด และแต่ละชิ้นต้องมีขนาดที่เท่ากัน ขนมไหว้พระจันทร์จึงเป็นสัญลักษณ์ของความสามัคคี ความกลมเกลียวของคนในครอบครัว ดังนั้น รูปลักษณ์ของขนมไหว้พระจันทร์จะต้องทำเป็นก้อนวงกลมเท่านั้น

ไหว้พระจันทร์ ทำอย่างไร

ไหว้พระจันทร์ใช้ธูปกี่ดอก ? ส่วนใหญ่ตำราต่าง ๆ มักแนะนำให้จุดธูป 3 ดอก หรือ 5 ดอก ก็ได้ โดยมีคำแนะนำว่า หากไหว้ด้วยผลไม้ 5 ชนิด ก็ควรใช้ธูป 5 ดอก แต่ถ้าบ้านไหนใช้ธูปพิเศษ เช่น ธูปมังกร ก็จุดธูปดอกใหญ่ดอกเดียวได้ โดยไหว้เป็น 3 ช่วงด้วยกัน คือ

ช่วงเช้า จัดของไหว้เจ้าเหมือนปกติ แต่เพิ่มขนมไหว้พิเศษ คือ ขนมไหว้พระจันทร์, ขนมโก๋, ขนมเปี๊ยะต่าง ๆ

ไหว้บรรพบุรุษ จัดของไหว้บรรพบุรุษเหมือนปกติ แต่เพิ่มขนมไหว้พิเศษ คือ ขนมไหว้พระจันทร์, ขนมโก๋, ขนมเปี๊ยะต่าง ๆ


ไหว้เจ้าแม่ในตอนค่ำ เมื่อดวงจันทร์เริ่มปรากฏบนท้องฟ้า

สำหรับสถานที่ไหว้พระจันทร์ในตอนค่ำ ควรเลือกที่กลางแจ้ง อาจเป็นลานบ้าน หน้าบ้าน หรือดาดฟ้าก็ได้ เตรียมทุกอย่างให้เสร็จก่อนพระจันทร์ขึ้น หันหน้าไปทางทิศตะวันออก จุดธูปเทียนอธิษฐานขอพรจากพระจันทร์ และควรเก็บโต๊ะก่อนที่พระจันทร์จะเลยศีรษะไป หรือเมื่อเทียนดอกใหญ่ดับลง เมื่อเสร็จสิ้นพิธีก็นำขนมไหว้พระจันทร์มากิน โดยหั่นแบ่งให้เท่ากับจำนวนคนในครอบครัว



ขนมไหว้พระจันทร์

สูตรขนมไหว้พระจันทร์

ขนมไหว้พระจันทร์ ไส้ทุเรียนไข่เค็ม

ขนมไหว้พระจันทร์ไส้ทุเรียนไข่เค็ม สูตรจาก ครัวป้ามารายห์ ตัวแป้งใช้แป้งเค้กผสมน้ำเชื่อม สอดไส้ทุเรียนกวน ทาหน้าด้วยไข่และน้ำเชื่อม ทั้งนี้ สามารถดัดแปลงไส้ได้ตามชอบเลย

ส่วนผสม แป้งขนมไหว้พระจันทร์ (พิมพ์ขนาด 3 นิ้ว)

แป้งเค้ก (แป้งส่วนที่ 1) 240 กรัม

น้ำเชื่อม 250 กรัม

น้ำมันถั่วลิสง 80 กรัม

น้ำด่าง 2 ช้อนชา

แป้งขนมปัง 125 กรัม (แป้งส่วนที่ 2)

ส่วนผสม ไส้ขนมไหว้พระจันทร์ (ไส้ทุเรียน)

ทุเรียนกวน 1,500-1,600 กรัม

ไข่แดงเค็ม 15 ลูก


ส่วนผสม ไข่ทาหน้าขนมไหว้พระจันทร์

ไข่แดง 1 ฟอง

ไข่ไก่ 1 ฟอง

นม 1ช้อนชา

น้ำเชื่อม 1/2 ช้อนชา


ส่วนผสม น้ำเชื่อมทาหน้าขนมไหว้พระจันทร์

น้ำตาลทรายไม่ขัดสี 1 กิโลกรัม

น้ำ 600 มิลลิลิตร

น้ำมะนาวหรือน้ำเลมอน 2 ช้อนโต๊ะ

เปลือกเลมอน (ใส่หรือไม่ก็ได้)

วิธีทำขนมไหว้พระจันทร์ ไส้ทุเรียนไข่เค็ม

ทำน้ำเชื่อม โดยใส่น้ำตาลทรายกับน้ำลงไปในหม้อต้ม เติมน้ำมะนาวและเปลือกเลมอนลงไป ต้มด้วยไฟอ่อนประมาณ 1 ชั่วโมง ระหว่างต้มก็คนเป็นพัก ๆ


พอผ่านไป 1 ชั่วโมง ลองตักมาเช็กดูว่าน้ำเชื่อมได้ที่หรือยัง น้ำเชื่อมที่ได้จะมีลักษณะข้นหนืดคล้าย ๆ น้ำผึ้ง

พอน้ำเชื่อมได้ที่แล้วดับเตา ตักเปลือกเลมอนออก จากนั้นพักให้เย็นลง พอเย็นลงแล้วเทใส่ขวด เก็บไว้อย่างน้อย 1 อาทิตย์ ก่อนนำมาใช้

ทำเปลือกขนมไหว้พระจันทร์ โดยใส่น้ำเชื่อม น้ำมันถั่วลิสง และน้ำด่าง ลงไปในชามผสม แล้วคนให้เข้ากัน เทแป้งเค้กส่วนที่ 1 ใส่ในชามผสม แบ่งใส่ทีละครึ่งจะได้ตะล่อมง่าย ๆ พักแป้งไว้ประมาณ 4-5 ชั่วโมง หรือพักค้างคืน

พอพักแป้งแล้วใส่แป้งขนมปัง (แป้งส่วนที่ 2) ลงไป นวดจนแป้งเนียนเข้ากัน จากนั้นพักแป้งอีกประมาณ 30 นาที (เอาผ้าคลุมไว้ด้วย)

นำไข่แดงเค็มไปอบที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 5 นาที

ห่อขนมไหว้พระจันทร์ โดยแบ่งแป้งเป็นก้อนละ 45-50 กรัม

เตรียมไส้ทุเรียนกับไข่แดงเค็ม ชั่งรวมกันประมาณ 120-125 กรัม ใส่ไข่แดงลงไปในทุเรียนกวนแล้วห่อให้แน่น รีดแป้งเป็นแผ่น นำแป้งมาห่อไส้

ทาน้ำมันลงไปในพิมพ์ให้ทั่ว กดพิมพ์ลงไปบนขนมไหว้พระจันทร์ พอกดเสร็จหมดแล้วก็พรมน้ำให้ทั่ว นำไปอบที่อุณหภูมิ 200 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 10-15 นาที พออบเสร็จก็พรมน้ำให้ทั่วแล้วพักให้อุ่นลง

ใส่นมกับน้ำเชื่อมลงไปผสมในไข่ไก่กับไข่แดง (น้ำเชื่อมจะทำให้สีขนมเข้มสวยขึ้น) ทาไข่ให้ทั่ว อบต่อด้วยอุณหภูมิ 190-200 องศาเซลเซียส ใช้ไฟบน-ล่าง เป็นเวลา 20 นาที อบเสร็จแล้วพักให้ขนมเย็นแล้วก็เก็บไว้อีก 3 วัน จัดเสิร์ฟ


ขนมไหว้พระจันทร์

ขนมไหว้พระจันทร์ไส้คัสตาร์ด ขนมไหว้พระจันทร์ไส้คัสตาร์ด สูตรจาก นิตยสาร Gourmet & Cuisine ตัวแป้งใช้แป้งสาลีและผงคัสตาร์ดสีสวย สอดไส้คัสตาร์ดหอมนุ่ม

ส่วนผสม แป้งขนมไหว้พระจันทร์

แป้งสาลีอเนกประสงค์

ผงคัสตาร์ด

ไข่ไก่

น้ำตาลทราย

นมสด

เนยสด

ไข่ไก่ (สำหรับทาหน้าขนม)

ส่วนผสม ไส้คัสตาร์ด

แป้งข้าวโพด

ไข่ไก่

เนยสด

น้ำตาลทราย

ผงคัสตาร์ด

แป้งสาลีอเนกประสงค์

นมสด


วิธีทำขนมไหว้พระจันทร์ไส้คัสตาร์ด

ทำไส้คัสตาร์ดด้วยการผสมแป้งข้าวโพด ไข่ไก่ เนยสด น้ำตาลทราย ผงคัสตาร์ด แป้งสาลีอเนกประสงค์ และนมสด ในเครื่องผสมจนเข้ากัน นำไปนึ่งประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วแช่ช่องแช่แข็ง 1 คืน จากนั้นนำมาตีในเครื่องผสมอีกครั้งให้คลายตัว

ทำแป้งขนมไหว้พระจันทร์ด้วยการผสมแป้งสาลีอเนกประสงค์ ผงคัสตาร์ด ไข่ไก่ น้ำตาลทราย นมสด และเนยสด ด้วยเครื่องผสมให้เข้ากัน แช่ตู้เย็น 1 คืน

ปั้นไส้คัสตาร์ดเป็นแท่งยาว แบ่งไส้เป็นชิ้นหนัก 21 กรัม ปั้นเป็นก้อนกลม เรียงใส่ถาด คลุมด้วยพลาสติกถนอมอาหาร แช่ในช่องแช่แข็งไว้ จะทำให้อยู่ทรงและหุ้มแป้งได้ง่าย



แบ่งแป้งขนมไหว้พระจันทร์และชั่งน้ำหนักให้ได้ 19 กรัม ปั้นเป็นก้อนกลม ใช้สันมือกดแป้งให้แบน นำแป้งมาหุ้มไส้ให้มิดและปั้นเป็นก้อนกลม

โรยแป้งสาลีเล็กน้อยที่พิมพ์ขนมและเคาะออก เพื่อป้องกันขนมติดพิมพ์ ใส่ขนมลงในพิมพ์ ใช้มือกดให้แน่นและแนบกับพิมพ์

รองผ้าที่โต๊ะแล้วเคาะพิมพ์ด้านซ้ายและขวาอย่างละ 1 ครั้ง คว่ำพิมพ์แล้วเคาะอีก 1 ครั้ง ขนมจะหลุดออกจากพิมพ์ง่าย เรียงขนมไหว้พระจันทร์ใส่ถาด ทาด้วยไข่ไก่บนหน้าขนมให้ทั่ว

นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส นาน 5 นาที จนแป้งสุกเหลือง พักไว้ให้เย็นแล้วเก็บใส่กล่อง

อ้างอิงจาก kapook

อ่านบทความเพิ่มเติม

ไทยพลัสนิวส์ เทศกาลกินเจ 2566 กินเจอย่างไร ให้ได้บุญสูงสุด

ไทยพลัสนิวส์ กินแบบเมดิเตอร์เรเนียน ไขมันดี คาร์บดี เป็นอย่างไร?

ไทยพลัสนิวส์ ชอบทานอาหารรสชาติไหน เสี่ยงโรค อะไรบ้าง

ไทยพลัสนิวส์ 6 วิตามิน-แร่ธาตุ ที่ช่วยจัดการกับโรค ความดันโลหิตสูง



วันพฤหัสบดีที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2566

ไทยพลัสนิวส์ เทศกาลกินเจ 2566 กินเจอย่างไร ให้ได้บุญสูงสุด

 ไทยพลัสนิวส์ เทศกาลกินเจ 2566 กินเจอย่างไร ให้ได้บุญสูงสุด

ไทยพลัสนิวส์ เทศกาลกินเจ 2566 กินเจอย่างไร ให้ได้บุญสูงสุด เทศกาลกินเจในปีนี้ หลายคนอาจจะเคยร่วมเทศกาลกินเจ หรือ เทศกาลกินผักนี้มาหลายครั้งแล้ว หรือ บางคนอาจจะเพิ่งเริ่มปีนี้ เพื่อถือโอกาสทำบุญ และ เพื่อสุขภาพที่ดี จากอาหารเจ แต่หากอยากร่วมเทศกาลกินเจแล้วให้ได้บุญสูงสุด เพียงแค่งดเนื้อสัตว์อย่างเดียวไม่พอแน่ ๆ



ไทยพลัสนิวส์ เทศกาลกินเจ 2566 กินเจอย่างไร ให้ได้บุญสูงสุด

เคล็ดลับ : ในเทศกาลกินเจ กินเจอย่างไร ให้ได้บุญสูงสุด 

1. อยากกินเจ… จริง ๆ 

สำรวจตัวเองก่อนนิดนึงว่า คุณอยากกินเจเพราะอะไร เพราะอยากได้บุญ เพราะ อยากละเว้นชีวิตสัตว์โลกสักช่วงหนึ่งในชีวิต หรือ อยากได้สุขภาพที่ดี จากการงดทานเนื้อสัตว์ หากเป็นเหตุผลดังกล่าว รับรองว่าได้ผลบุญเต็ม ๆ แน่นอน แต่ถ้าคุณอยากกินเจ เพราะ แค่อยากตามกระแสคนอื่น อันนี้คุณอาจจะต้องพิจารณาตัวเองใหม่แล้วล่ะ 

2. อยากกินเจ… ต้องไม่บ่น 

เนื่องจากเครื่องปรุงที่หายไปค่อนข้างเยอะ ทำให้อาหารเจมักมีรสชาติไม่อร่อยเท่าอาหารไทย ที่เราทานกันอยู่ทุกวัน น้ำปลาเอย ซอสน้ำมันหอยเอย พวกนี้ไม่ได้แตะลิ้นเราแน่ ๆ บางคนจึงอาจเปรยเบาๆ ( หรือดัง ๆ ) ว่าอาหารเจไม่อร่อย แต่ถึงกระนั้น การทานอาหารเจ เราไม่ได้ทานเอาอร่อย เราทานเอาอิ่ม และทานเพื่อให้ได้คุณค่าทางโภชนาการครบทั้ง 5 หมู่ ดังนั้นเรื่องรสชาติต้องเป็นรอง ขอให้คิดว่าเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ ยิ่งทาน ยิ่งได้สุขภาพดีนะคะ 

3. อยากกินเจ… ต้องไม่งก 

เราเข้าใจว่าบางทีก็ทำได้ยาก เห็นราคาผัก ราคาอาหารเจตามห้างร้านต่าง ๆ แล้วอาจจะทำใจไม่ได้ หรือพอลองเอาราคาอาหารปกติ มาเทียบด้วยแล้ว ยิ่งปริ๊ด “ทำไมจู่ๆ ร้านนี้ขายข้าวราดแกงธรรมดา 30 พอเป็นอาหารเจขึ้นเป็น 50 เฉยเลย” หากอยากได้บุญ ต้องพยายามใจเย็น แล้วทำความเข้าใจกับราคาข้าวของในช่วงนี้ ว่ามันต้องขึ้นราคาเป็นธรรมดา หากรับราคาไม่ไหว ลองทำทานเองที่บ้าน อร่อย และ คุ้มค่ามากกว่าแน่นอน 



4. อยากกินเจ… ไปทุกๆ วัน 

ช่วงเวลา 10 วัน ดูไม่เร็วไม่ช้า แต่เรากินๆ หยุดๆ ขอผลัดวันไปกินเพิ่มวันอื่นแทน แบบนี้ไม่ได้ เราต้องมีวินัยกับตัวเอง ตั้งใจกินเจแล้ว ก็ต้องกินเจให้ได้ตามเวลา และ ครบจำนวนวันที่กำหนด ยิ่งหากมีใจอยากกินเจไปเรื่อย ๆ หลังเทศกาลกินเจไปแล้วก็ยังกินอยู่ แบบนี้ได้บุญเต็ม ๆ 

5. อยากกินเจ…ด้วยรอยยิ้ม 

แบ่งปันช่วงเวลากินเจกับคนรอบข้าง ครีเอตเมนูอาหารเจใหม่ ๆ สนุกกับอาหารเจหลากหลายเมนู หากคุณกินอาหารเจ ด้วยความรู้สึกที่ดี มากกว่าต้องทนกินอาหารเจ ที่ไม่ชอบไปวัน ๆ ล่ะก็ รับรองว่าผลบุญที่คุณได้มากขึ้นอย่างแน่นอน 

6. อยากกินเจ…คู่ไปกับการถือศีล 

แน่นอนว่าคำนี้มาคู่กัน “ถือศีล กินเจ” เมื่อเรากินแต่ของดี ๆ ไม่เบียดเบียนสิ่งมีชีวิตแล้ว เราก็ต้องพูดดี ทำดี ปฏิบัติตนอยู่ในศีลธรรมอันดีด้วย จะได้มีทั้งร่างกาย และจิตใตที่บริสุทธิ์ผุดผ่องยังไงล่ะ 

และนี่ก็คือ เคล็ดลับในการกินเจ ยังไงให้ได้บุญที่สูงที่สุด 

หากคุณทำตามเคล็ดลับง่าย ๆ เหล่านี้ เชื่อเถอะค่ะว่าคุณจะคิดว่าการกินเจ ไม่ใช่เรื่องยากลำบากอะไรเลย ขอแค่มีจิตใจที่ดี ที่อยากร่วมสร้างบุญกุศล ให้กับตัวเองจริง ๆ ขอให้เทศกาลกินเจในปีนี้ ทุกคนได้บุญกันถ้วนหน้า ชีวิตมีแต่เรื่องดี ๆ เกิดขึ้นกันนะคะ 

อ้างอิง sanook

อ่านบทความเพิ่มเติม




ไทยพลัสนิวส์ กินแบบเมดิเตอร์เรเนียน ไขมันดี คาร์บดี เป็นอย่างไร?

 ไทยพลัสนิวส์ กินแบบเมดิเตอร์เรเนียน ไขมันดี คาร์บดี เป็นอย่างไร?

ไทยพลัสนิวส์ กินแบบเมดิเตอร์เรเนียน ไขมันดี คาร์บดี เป็นอย่างไร? นอกจากอาหารคลีนที่แบบที่เรารู้กันดีอยู่แล้วว่าต้องกินแบบที่ปรุงอาหารน้อย ๆ ลดการใช้น้ำมันหมู น้ำมันปาล์มในการปรุงอาหาร เลือกกินโปรตีนไขมันต่ำ และ เปลี่ยนมากินผักผลไม้ ให้มากขึ้นแล้ว ยังมีวิธีกินอาหารเพื่อสุขภาพแบบที่ชาวตะวันตกนิยมกันมาช้านาน เพราะพิสูจน์ว่า ช่วยลดความเสี่ยงโรคอันตรายได้มากมาย นั่นคือ การกินแบบ “เมดิเตอร์เรเนียน” 




ไทยพลัสนิวส์ กินแบบเมดิเตอร์เรเนียน ไขมันดี คาร์บดี เป็นอย่างไร?

กินแบบเมดิเตอร์เรเนียน ไขมันดี คาร์บดี เป็นอย่างไร? 

กินแบบเมดิเตอร์เรเนียน ดีอย่างไร? 

มีรายงานวิจัยพบว่า ผู้ที่อยู่ในประเทศแถบเมดิเตอร์เรเนียน เช่น สเปน ฝรั่งเศส อิตาลี กรีซ ตุรกี โมรอคโค พบอัตราผู้ป่วยโรคหัวใจ และ หลอดเลือดต่าง ๆ น้อยกว่าประเทศอื่น ๆ ในแถบยุโรปด้วยกัน โดยมีตัวแปรสำคัญมาจากอาหารที่กินในแต่ละวัน นั่นคือการกินอาหารแบบเมดิเตอร์เรเนียนนั่นเอง 


กินแบบเมดิเตอร์เรเนียน กินอย่างไร? 

หลัก ๆ แล้ว การกินอาหาร แบบเมดิเตอร์เรเนียน ทำได้โดยเลือกกินอาหารเหล่านี้ 


กินผัก ผลไม้ ธัญพืช และ ไขมันที่ดี ต่อสุขภาพทุกวัน 

กินโปรตีนจากเนื้อปลา สัตว์ปีก ถั่วต่าง ๆ และไข่ ทุกอาทิตย์ 

กินอาหารที่ทำจากนม เช่น นมสด โยเกิร์ต อย่างสม่ำเสมอ 

ลดการกินเนื้อแดง 

กินแบบเมดิเตอร์เรเนียน ไขมันดี คาร์บดี เป็นอย่างไร? 

ปกติแล้วเวลานึกถึงอาหารเพื่อสุขภาพ มักจะมีไขมันต่ำ และ คาร์โบไฮเดรตน้อย เพราะมองว่าเป็นอาหารที่ให้พลังงานสูง แต่การกินแบบเมดิเตอร์เรเนียน สามารถกินไขมัน และ คาร์โบไฮเดรต ได้ แต่ต้องเลือกกินให้ถูกประเภท 





ไขมัน เลือกกินเฉพาะ ไขมันที่ดีต่อร่างกาย นั่นคือ กรดไขมันไม่อิ่มตัว (Unsaturated fatty acid) ที่สามารถพบได้ใน น้ำมันพืช เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันงา น้ำมันดอกคำฝอย อะโวคาโด ปลาทะเล เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ถั่ว เมล็ดธัญพืชต่าง ๆ เป็นต้น 

คาร์โบไฮเดรต เลือกกินเฉพาะคาร์โบไฮเดรต เชิงซ้อน ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรต ที่ไม่ผ่านการขัดสี ไม่ผ่านการแปรรูป จึงมีกากใยอาหาร และ คุณค่าทางอาหารสูง พบได้ในข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีต โฮลเกรน และ ในผักผลไม้บางประเภท เช่น เผือก มันเทศ และถั่วต่าง ๆ 

และนี่ก็คือ การเลือก กินแบบเมดิเตอร์เรเนียน ไขมันดี คาร์บด 

นอกจากการเลือกกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพแล้ว การทำกิจกรรมต่างๆ ในแต่ละวัน เช่น การเดินเล่นหลังมื้ออาหาร การทำงานบ้าน จ่ายตลาด ปั่นจักรยาน ก็ทำให้ชาวเมดิเตอร์เรเนียน มีสุขภาพแข็งแรงมากขึ้นได้ ดังนั้นหากใครจะกินอาหาร แบบเมดิเตอร์เรเนียน อย่าลืมออกกำลังกายเป็นประจำด้วย 

อ่านบทความเพิ่มเติม






ไทยพลัสนิวส์ ชอบทานอาหารรสชาติไหน เสี่ยงโรค อะไรบ้าง

 ไทยพลัสนิวส์ ชอบทานอาหารรสชาติไหน เสี่ยงโรค อะไรบ้าง

ไทยพลัสนิวส์ ชอบทานอาหารรสชาติไหน เสี่ยงโรค อะไรบ้าง รสชาติอาหารคือความรู้สึก ตอบสนองทางประสาทสัมผัสที่ได้รับเมื่ออาหาร ของเหลว หรือ ของแข็ง ถูกเคี้ยว บดไปกับน้ำลาย สารละลายจะไปสัมผัสกับต่อมรับรส (taste bud) บนผิวลิ้น หรือ บริเวณใกล้เคียงปากและคอ โดยทั่วไป อาหารมีรสชาติหลากหลายทั้งเปรี้ยว หวาน เผ็ด เค็มเป็นต้น แต่ทราบหรือไม่ว่าหากเราชอบทานรสชาติอาหารใดเป็นพิเศษ หรือ ทานรสชาตินั้นเป็นประจำ อาจทำให้เกิดโรคต่าง ๆ กับเราได้ดังต่อไปนี้




ไทยพลัสนิวส์ ชอบทานอาหารรสชาติไหน เสี่ยงโรค อะไรบ้าง

ชอบทานอาหารรสเค็ม เสี่ยงโรค อะไรบ้าง 

การบริโภคอาหารรสเค็มมากเกินไป อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้หลายประการ ดังนี้ 

โรคความดันโลหิตสูง โซเดียมเป็นเกลือแร่ที่ร่างกายต้องการ แต่การบริโภคโซเดียมมากเกินไปอาจทำให้ร่างกายกักเก็บน้ำ และ เพิ่มความดันโลหิต ซึ่งอาจนำไปสู่โรคความดันโลหิตสูงได้ 

โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นโรคที่เกิดจากหลอดเลือดหัวใจตีบ หรือ อุดตัน ซึ่งอาจเกิดจากปัจจัยต่าง ๆ ร่วมกัน เช่น การสูบบุหรี่ โรคอ้วน โรคเบาหวาน และ ความเครียด การบริโภคอาหารรสเค็มมากเกินไป อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ 

โรคไต ไตมีหน้าที่กรองของเสียออกจากร่างกาย การบริโภคอาหารรสเค็มมากเกินไป อาจทำให้ไตทำงานหนักขึ้น เพื่อกำจัดโซเดียม ส่วนเกินออกจากร่างกาย ซึ่งอาจนำไปสู่โรคไตเรื้อรังได้ 

โรคกระดูกพรุน โซเดียมอาจขัดขวางการดูดซึมแคลเซียม ซึ่งจำเป็นต่อกระดูก การบริโภคอาหารรสเค็มมากเกินไป อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนได้ 

โรคมะเร็งกระเพาะอาหาร การศึกษาบางชิ้นพบว่า การบริโภคอาหารรสเค็มมากเกินไป อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งกระเพาะอาหารได้ 

วิธีลดความ เสี่ยงโรค จากการบริโภคอาหารรสเค็ม อะไรบ้าง มาดูกันเลย 

เพื่อลดความเสี่ยงจากการบริโภคอาหารรสเค็ม ควรจำกัดการบริโภคอาหารรสเค็ม และเลือกรับประทานอาหารที่มีโซเดียมต่ำ ดังนี้ 

หลีกเลี่ยงการปรุงอาหารด้วยเกลือหรือซอสที่มีรสเค็ม 

เลือกรับประทานอาหารสด แทนอาหารแปรรูป 

อ่านฉลากโภชนาการอย่างละเอียด เพื่อตรวจสอบปริมาณโซเดียม 

ปริมาณโซเดียมที่แนะนำต่อวัน 

องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำปริมาณโซเดียมที่ควรบริโภคต่อวัน อยู่ที่ไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัม หรือเทียบเท่าเกลือ 1 ช้อนชา 

ตัวอย่างอาหารที่มีโซเดียมสูง 

อาหารสำเร็จรูป เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ขนมขบเคี้ยว อาหารกระป๋อง 

อาหารแปรรูป เช่น ไส้กรอก แฮม เบคอน อาหารทะเลแช่แข็ง 

อาหารปรุงรส เช่น ซอสปรุงรส น้ำปลา ซีอิ๊ว 

อาหารหมักดอง เช่น ผักดอง ปลาร้า กะปิ 

หากคุณชอบกินอาหารรสเค็ม ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ 





ชอบทานอาหารรสหวาน เสี่ยงโรค อะไรบ้าง มาดูกันเลย 

โรคอ้วน น้ำตาลเป็นสารอาหารที่ให้พลังงานสูง การบริโภคน้ำตาลมากเกินไป อาจทำให้ร่างกาย ได้รับพลังงานมากกว่าที่ร่างกายต้องการ ซึ่งอาจนำไปสู่โรคอ้วนได้ 

โรคเบาหวาน น้ำตาลเป็นอาหารของเซลล์ ในร่างกาย การบริโภคน้ำตาลมากเกินไป อาจทำให้ร่างกายผลิตอินซูลินมากเกินไป ซึ่งอาจนำไปสู่โรคเบาหวานได้ 

โรคหัวใจและหลอดเลือด น้ำตาลอาจทำให้ระดับคอเลสเตอรอล ในเลือดสูงขึ้น ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ และ หลอดเลือดได้ 

โรคฟันผุ น้ำตาลเป็นอาหารของแบคทีเรียในช่องปาก การบริโภคน้ำตาลมากเกินไป อาจทำให้ฟันผุได้ 

โรคมะเร็ง การศึกษาบางชิ้นพบว่า การบริโภคน้ำตาลมากเกินไป อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งบางชนิดได้ 

วิธีลดความ เสี่ยงโรค จากการบริโภคน้ำตาลมากเกินไป อะไรบ้าง มาดูกันเลย  

เพื่อลดความเสี่ยงจากการบริโภคน้ำตาลมากเกินไป ควรจำกัดการบริโภคน้ำตาล และ เลือกรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลต่ำ ดังนี้ 

หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล เช่น น้ำอัดลม น้ำหวาน ชานมไข่มุก 

เลือกรับประทานอาหาร ที่มีน้ำตาลธรรมชาติ เช่น ผลไม้ นม 

อ่านฉลากโภชนาการอย่างละเอียด เพื่อตรวจสอบปริมาณน้ำตาล 

ปริมาณน้ำตาลที่แนะนำต่อวัน 

องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำปริมาณน้ำตาลที่ควรบริโภคต่อวัน อยู่ที่ไม่เกิน 25 กรัม หรือเทียบเท่าช้อนชาน้ำตาล 6 ช้อนชา 


ตัวอย่างอาหารที่มีน้ำตาลสูง 

ขนมหวานต่าง ๆ เช่น ไอศกรีม เค้ก คุกกี้ 

เครื่องดื่มที่มีน้ำตาล เช่น น้ำอัดลม น้ำหวาน ชานมไข่มุก 

อาหารแปรรูป เช่น ขนมขบเคี้ยว อาหารสำเร็จรูป 

หากคุณชอบกินหวาน ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ 


ชอบทานอาหารรสเปรี้ยวเสี่ยงเป็นโรค อะไรบ้าง มาดูกันเลย 

ทำลายฟัน กรดจากอาหารรสเปรี้ยว จะกัดกร่อนผิวเคลือบฟัน ทำให้ฟันค่อย ๆ สึกทั้งด้านบน และ ด้านล่าง ซึ่งก่อให้เกิดอาการเสียวฟันได้ง่าย 


ท้องร่วง การทานอาหารรสเปรี้ยวมากเกินไป อาจทำให้ท้องเสียได้ 


ร้อนใน การทานอาหารรสเปรี้ยวมากเกินไป อาจทำให้ร่างกายผลิตกรดมากเกินไป ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการร้อนในได้ 


กระดูกผุ การทานอาหารรสเปรี้ยวมากเกินไป อาจทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้น้อยลง ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนได้ 


 

วิธีลดความ เสี่ยงโรค จากการทานเปรี้ยวมากเกินไป อะไรบ้าง มาดูกันเลย 

เพื่อลดความเสี่ยงจากการทานเปรี้ยวมากเกินไป ควรจำกัดการบริโภคอาหารรสเปรี้ยว และเลือกรับประทานอาหารที่มีรสเปรี้ยวน้อย ดังนี้ 


หลีกเลี่ยงการทานอาหารที่มีรสเปรี้ยวมากเกินไป เช่น มะนาว มะเขือเทศ น้ำส้มสายชู 

เลือกทานผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวน้อย เช่น มะละกอสุก แตงโม สับปะรด 

ดื่มน้ำเปล่าตามหลังการทานอาหารรสเปรี้ยว เพื่อช่วยลดการกัดกร่อนของฟัน 

ปริมาณอาหารรสเปรี้ยวที่แนะนำต่อวัน 


องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำปริมาณอาหารรสเปรี้ยวที่ควรบริโภคต่อวัน อยู่ที่ไม่เกิน 2 ช้อนชา 


ตัวอย่างอาหารที่มีรสเปรี้ยวสูง 


ผลไม้รสเปรี้ยว เช่น มะนาว มะเขือเทศ องุ่น สตรอว์เบอร์รี่ 

ผักรสเปรี้ยว 

อาหารปรุงรส เช่น น้ำส้มสายชู ซอสเปรี้ยว 

หากคุณชอบทานเปรี้ยว ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ 


ชอบทานอาหารรสเผ็ด เสี่ยงโรค อะไรบ้าง มาดูกันเลย 

ระคายเคืองระบบทางเดินอาหาร สารแคปไซซิน (Capsaicin) ซึ่งเป็นสารให้รสเผ็ดในพริก มีคุณสมบัติในการกระตุ้นการหลั่งน้ำย่อยและกรดในกระเพาะอาหาร ทำให้กระเพาะอาหารและลำไส้เกิดการระคายเคือง ซึ่งอาจนำไปสู่อาการแสบร้อนกลางอก กรดไหลย้อน ท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องผูก หรือท้องเสียได้ 

เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคกระเพาะและลำไส้ การรับประทานอาหารรสเผ็ดเป็นประจำ อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระเพาะและลำไส้อักเสบได้ เนื่องจากสารแคปไซซินจะไปกระตุ้นการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร ทำให้เยื่อบุกระเพาะ และ ลำไส้เกิดการอักเสบ เป็นแผล และอาจลุกลามเป็นมะเร็งได้ 

เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด การรับประทานอาหารรสเผ็ดเป็นประจำ อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ เนื่องจากสารแคปไซซินจะไปกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนอะดรีนาลีน (Adrenaline) ซึ่งทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น ความดันโลหิตสูงขึ้น และ อาจทำให้หลอดเลือดแข็งตัวได้ 

เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคตับ การรับประทานอาหารรสเผ็ดเป็นประจำ อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคตับได้ เนื่องจากสารแคปไซซินจะไปกระตุ้นการหลั่งสารเคมีในตับ ซึ่งอาจทำให้ตับทำงานหนักขึ้น และ อาจนำไปสู่โรคตับอักเสบได้ 

วิธีลดความ เสี่ยงโรค จากการกินอาหารรสเผ็ดมากเกินไป อะไรบ้าง มาดูกันเลย 

เพื่อลดความเสี่ยงจากการกินอาหารรสเผ็ดมากเกินไป ควรจำกัดการบริโภคอาหารรสเผ็ด และเลือกรับประทานอาหารที่มีรสเผ็ดน้อย ดังนี้ 


หลีกเลี่ยงการทานอาหารที่มีรสเผ็ดมากเกินไป เช่น อาหารไทย อาหารเม็กซิกัน อาหารเกาหลี 

เลือกทานอาหารที่มีรสเผ็ดน้อย เช่น อาหารญี่ปุ่น อาหารจีน อาหารยุโรป 

ดื่มน้ำเปล่าตามหลังการทานอาหารรสเผ็ด เพื่อช่วยลดการระคายเคือง 

ปริมาณอาหารรสเผ็ดที่แนะนำต่อวัน 

องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำปริมาณอาหารรสเผ็ด ที่ควรบริโภคต่อวัน อยู่ที่ไม่เกิน 1 ช้อนชา 

ตัวอย่างอาหารที่มีรสเผ็ดสูง 


อาหารไทย เช่น แกงเผ็ด ต้มยำ น้ำพริก 

อาหารเม็กซิกัน เช่น ทาโก้ เบอร์ริโต ชิลีคอนคาร์เน 

อาหารเกาหลี เช่น กิมจิ บิบิมบับ ซัมกยอบซัล 

สรุปในการ เสี่ยงโรค อะไรบ้าง จากการปรุงอาหารในปริมาณที่มากเกินไป 

และนี่ก็คือ การดูแลสุขภาพของตัวเองจากการรับประทานอาหาร จากการปรุง หากคุณเป็นคนที่ชอบทานอาหารรสชาติจัด ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานเพื่อตัวของคุณเอง ควรปรุงอาหารด้วยความพอดี ไม่ควรเพิ่มปริมาณการปรุงมากจนเกินไป เนื่องจากจะทำให้เสี่ยงการเกิดโรค และ ส่งผลไปในวันข้างหน้า เช่น การปรุงรสชาติที่เค็ม อาจเสี่ยงทำให้เกิดโรคไต , การปรุงหวาน อาจทำให้เสี่ยงการเกิดโรคเบาหวาน แต่ไม่ว่าจะปรุงแบบไหน แต่ถ้ามากจนเกิดไปก็ไม่ดีต่อร่างกายทั้งนั้น 

อ้างอิง sanook  

อ่านบทความเพิ่มเติม




ไทยพลัสนิวส์ 6 วิตามิน-แร่ธาตุ ที่ช่วยจัดการกับโรค ความดันโลหิตสูง

 ไทยพลัสนิวส์ 6 วิตามิน-แร่ธาตุ ที่ช่วยจัดการกับโรค ความดันโลหิตสูง

ไทยพลัสนิวส์ 6 วิตามิน-แร่ธาตุ ที่ช่วยจัดการกับโรค ความดันโลหิตสูง อาหารเพื่อสุขภาพ ให้คุณประโยชน์มากมาย สำหรับการจัดการกับความดันโลหิต นอกจากนี้ การดูดซึม วิตามิน และ แร่ธาตุ บางชนิด ก็สามารถส่งผลดีต่อความดันโลหิต ตามธรรมชาติได้ คุณทราบ หรือไม่ว่าเป็นแร่ธาตุ และ วิตามิน ประเภทใดบ้าง ลองอ่านต่อไป 




ไทยพลัสนิวส์ 6 วิตามิน-แร่ธาตุ ที่ช่วยจัดการกับโรค ความดันโลหิตสูง

6 วิตามิน-แร่ธาตุ ที่ช่วยจัดการกับโรค ความดันโลหิตสูง   

วิตามิน-แร่ธาตุ ความดันโลหิตสูง : โพแทสเซียม 

โพแทสเซียม เป็นแร่ธาตุสำคัญ ระดับปกติของโพแทสเซียม ส่งผลต่อการทำงานของกล้ามเนื้อที่เป็นปกติ อย่างเช่นการคลายลายเนื้อเยื่อเส้นเลือด สิ่งนี้ช่วยลดความดันเลือด และ ป้องกัน การเกิดตะคริวได้ โพแทสเซียมช่วยเอื้อต่อความดันเลือด ตามธรรมชาติ


โดยการลดผลกระทบของโซเดียม ระดับโพแทสเซียมที่เพียงพอ ยังช่วยป้องกันการเต้นของหัวใจ ที่ผิดปกติได้ โดยรักษาการนำไฟฟ้า ของสัญญาณไฟฟ้าในหัวใจ และ ระบบประสาทส่วนกลาง ให้เป็นปกติ แนะนำว่าร่างกายของคุณ ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ควรได้รับโพแทสเซียมในปริมาณ 4,700 มิลลิกรัมต่อวัน โพแทสเซียมสามารถพบได้ในมันฝรั่ง ลูกพรุน แอปริคอต เห็ด ถั่ว ส้ม ปลาทูน่า ผักโขม มะเขือเทศ ลูกเกด เกรฟฟุต นมพร่องมันเนย และ โยเกิร์ต 


วิตามิน-แร่ธาตุ ความดันโลหิตสูง : แมกนีเซียม 

แมกนีเซียม สามารถช่วยควบคุมความดันเลือดของคุณได้ แมกนีเซียมช่วยให้หลอดเลือดคลายตัว เป็นการลดความดันเลือด แมกนีเซียมในระดับสูงสามารถลดความเสี่ยง ของโรคหลอดเลือดสมองได้


อย่างไรก็ดี ร่างกายจะแมกนีเซียมไปได้เมื่อคุณถ่ายปัสสาวะ อาหารจำพวกผักใบเขียวเข้ม ธัญพืช และ พืชตระกูลถั่ว อุดมไปด้วยแมกนีเซียม ปริมาณแมกนีเซียม ที่แนะนำคือ 420 มิลลิกรัม ต่อวันสำหรับผู้ชายอายุ 50 ปีหรือมากกว่า และ 320 มิลลิกรัมต่อวันสำหรับผู้หญิงอายุ 50 ปีหรือมากกว่า อย่างไรก็ตาม แมกนีเซียมในปริมาณมากเกินไป อาจทำให้เกิดอาการท้องร่วงได้ 


วิตามิน-แร่ธาตุ ความดันโลหิตสูง : แคลเซียม 

แคลเซียม สามารถช่วยให้ผนังหลอดเลือดเกร็ง และ คลาย ในเวลาที่ต้องการ สิ่งนี้ช่วยควบคุมความดันเลือดได้ แคลเซียมสามารถพบได้ในผลิตภัณฑ์จากนม เช่น นม เนยแข็ง ในผักใบเขียวเข้ม เช่น คะน้า ผักโขม และ ในปลา เช่น ปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน ปริมาณแคลเซียม ที่แนะนำอยู่ระหว่าง 1,000 และ 1,200 มิลลิกรัมต่อวันสำหรับผู้ชายอายุ 51 ปีหรือมากกว่า และ 1,200 มิลลิกรัมต่อวัน สำหรับผู้หญิงอายุ 51 ปีหรือมากกว่า 




วิตามิน-แร่ธาตุ ความดันโลหิตสูง : วิตามินอี 

วิตามินอีเป็นวิตามินที่ละลายได้ในไขมัน วิตามินอีสามารถพบได้ในอาหารหลายชนิด ได้แก่ ธัญพืช เนื้อสัตว์ ไข่ ผลไม้ สัตว์ปีก ผัก น้ำมันพืช และ อาหารเสริม วิตามินอีสามารถคงอยู่ในร่างกายได้ จึงไม่ค่อยพบภาวะขาดวิตามินอี วิตามินอีสามารถใช้เพื่อรักษาความดันโลหิตสูง วิตามินอี ส่งผลต่อการผลิต ไนตริกออกไซด์


ซึ่งช่วยให้หลอดเลือดคลายตัว สิ่งนี้ช่วยลดความดันโลหิต ทั้งความดันในขณะหัวใจบีบตัว และคลายตัว นอกจากนี้ วิตามินอียังสามารถป้องกันภาวะหัวใจวาย อาการเจ็บหน้าอก โรคอัลไซเมอร์ ความผิดปกติเกี่ยวกับเลือด ปัญหาเกี่ยวกับไต ปัญหาเกี่ยวกับผิวหนัง และ โรคพาร์กินสัน 


วิตามิน-แร่ธาตุ ความดันโลหิตสูง : วิตามินซี 

วิตามินซีเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ ร่างกายมนุษย์ไม่สามารถผลิตวิตามินซีได้เอง แต่คุณสามารถรับวิตามินซีได้จากอาหารต่างๆ เช่น ผักและผลไม้สด และอาหารเสริม อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าคุณควรรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินซี แทนการรับประทานอาหารเสริม เชื่อกันว่าวิตามินซีสามารถรักษา หรือ ป้องกันอาการติดเชื้อ โรคซึมเศร้า ปัญหาเกี่ยวกับการคิด โรคอัลไซเมอร์ อาการอ่อนเพลีย โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง ภาวะคอเลสเตอรอลสูง และ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความดันเลือดสูง วิตามินซีช่วยลดภาวะความเครียด จากการเกิดอนุมูลอิสระ และ ช่วยกระตุ้นผลของการผลิตไนตริกออกไซด์ ซึ่งช่วยลดความดันเลือดลงได้ 


วิตามิน-แร่ธาตุ ความดันโลหิตสูง : วิตามินดี 

วิตามินดีเป็นวิตามินที่ละลายได้ในไขมัน พบได้ในปลาที่มีไขมัน เช่น ปลาทู ปลาทูน่า ในผลิตภัณฑ์จากนม เช่น นม เนยแข็ง ในน้ำผลไม้และธัญพืชที่มีฉลากติดไว้ว่า ‘เสริมวิตามินดี’ อย่างไรก็ดี คุณสามารถได้รับวิตามินดีโดยส่วนมากได้จากการรับแสงแดด วิตามินดีมีประโยชน์ ต่อหลอดเลือด และ อาการโรคของหัวใจ เช่น ความดันโลหิตสูง คอเลสเตอรอลสูง โรคอ้วน เบาหวาน ภาวะไตล้มเหลว กล้ามเนื้ออ่อนแรง และ โรคเกี่ยวกับฟัน และ เหงือก


สิ่งที่คุณรับประทานสามารถส่งผล ต่อสุขภาพของคุณได้เสมอ เพื่อให้มีความดันโลหิตที่เหมาะสม อาหารที่มีประโยชน์ มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง นอกจากนี้ แร่ธาตุจำเพาะ และวิตามินที่กล่าวถึงข้างต้น ควรรวมอยู่ในมื้ออาหารของคุณด้วย 

อ้างอิง sanook

อ่านบทความเพิ่มเติม




ไทยพลัสนิวส์ 10 โรคร้าย จากพฤติกรรม ติดหวาน ที่ต้องรู้

 ไทยพลัสนิวส์ 10 โรคร้าย จากพฤติกรรม ติดหวาน ที่ต้องรู้

ไทยพลัสนิวส์ 10 โรคร้าย จากพฤติกรรม ติดหวาน ที่ต้องรู้ ฮันนี่โทสต์หวานฉ่ำ ชาไข่มุกเย็นๆ หวานชื่นใจ หรือแม้แต่ก๋วยเตี๋ยวที่เทน้ำตาลลงไป จนหวานเจี๊ยบ พฤติกรรมการกินแบบติดหวานเหล่านี้ สามารถพบเห็นได้ทั่วไปในสมัยนี้ ทว่าเมื่อระดับน้ำตาลสูงเกินไป จะส่งผลให้อินซูลิน ทำงานผิดปกติ ทำให้เซลล์เกิดภาวะต้านอินซูลิน และ เป็นจุดเริ่มต้นของโรคต่าง ๆ มากมาย มาเช็ค 10 โรคร้ายที่ควรห่างไกลเมื่อรับประทานหวานมากเกินไปกันเถอะ 




ไทยพลัสนิวส์ 10 โรคร้าย จากพฤติกรรม ติดหวาน ที่ต้องรู้

10 โรคร้าย จากพฤติกรรม ติดหวาน ที่ต้องรู้ 

โรคร้าย จากพฤติกรรม ติดหวาน : โรคเบาหวาน 

ภาวะต้านอินซูลินที่รุนแรง จะทำให้ตับอ่อนไม่สามารถรักษาระดับน้ำตาล ในเลือดให้ ต่ำลงได้ ระดับน้ำตาลในเลือดที่พุ่งสูงขึ้น หรือ สวิงขึ้นลง จะทำให้คุณเป็นโรคเบาหวานได้ในที่สุด 


โรคร้าย จากพฤติกรรม ติดหวาน : โรคหัวใจ 

อาหารที่มีน้ำตาลสูง เป็นตัวเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ เพราะน้ำตาลมีผลต่อกระบวนการสูบฉีดของหัวใจ เพิ่มระดับไตรกลีเซอไรด์ ไขมันเลว กลูโคส และ อินซูลินในกระแสเลือด 


โรคร้าย จากพฤติกรรม ติดหวาน : ไขมันพอกตับ 

เมื่อตับสังเคราะห์ฟรักโทสให้กลายเป็นไขมันแล้ว ก็จะนำไปเก็บไว้ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะที่ตับ 


โรคร้าย จากพฤติกรรม ติดหวาน : ไขมันในเลือดสูง 

เมื่อกินอาหารประเภทแป้ง และ น้ำตาลมาก ๆ จะทำให้เกิดการสะสมไตรกลีเซอไรด์ขึ้นในร่างกาย ทำให้ปริมาณไขมันในเลือดสูงขึ้น 


โรคร้าย จากพฤติกรรม ติดหวาน : โรคอ้วน 

ความหวานจะทำให้รู้สึกหิวมากขึ้น และ ไม่รู้สึกอิ่ม คุณจะรู้สึกว่า กินเท่าไรก็ไม่พอเสียที และมีน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นได้อย่างง่ายดายโดยไม่รู้ตัว 



โรคร้าย จากพฤติกรรม ติดหวาน :.ความดันโลหิตสูง 

น้ำตาลทำให้ฮอร์โมนแคทีโคลามีน และ กรดยูริกสูง ซึ่งต่างก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคความดันโลหิตสูงทั้งสิ้น 


โรคร้าย จากพฤติกรรม ติดหวาน : ไมเกรน 

น้ำตาล และ ของหวานต่างๆ เป็นหนึ่ง ในอาหารที่กระตุ้นให้เกิด อาการไมเกรน 


โรคร้าย จากพฤติกรรม ติดหวาน : ฟันผุ 

น้ำตาลนั้นย่อยง่าย แบคทีเรียในช่องปาก จึงสามารถเพิ่มจำนวนได้อย่างรวดเร็ว จนเป็นสาเหตุของ ปัญหาในช่องปากต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ฟันผุ เคลือบฟันกัดกร่อน โรคเหงือก และ กลิ่นปาก 


โรคร้าย จากพฤติกรรม ติดหวาน : มะเร็ง 

อินซูลินเป็นฮอร์โมน ที่ใช้ควบคุมการเจริญเติบโต และ การเพิ่มขึ้นของเซลล์มะเร็ง การเพิ่มขึ้นของอินซูลิน และ ระดับอินซูลินที่ไม่คงที่ ก็อาจทำให้มีเซลล์มะเร็งเติบโต อยู่ในร่างกายของคุณได้ 


โรคร้าย จากพฤติกรรม ติดหวาน : โรคกระดูกเปราะ 

น้ำตาลสามารถซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้อย่างรวดเร็ว ทำเกิดความไม่สมดุลในเลือด เมื่อเลือดมีความเป็น กรดมากขึ้น ร่างกายจึงต้องปรับสมดุล โดยการดึงแร่ธาตุต่าง ๆ ที่สะสมอยู่ในกระดูกมาใช้แทน 

และนี่ก็คือ 10 โรคร้าย จากพฤติกรรม ติดหวาน ที่ต้องรู้ 

ความจริงแล้ว น้ำตาลก็เป็นเหมือนยาเสพติดชนิดหนึ่ง เพราะ สารให้ความหวานจะเข้าไป กระตุ้นการหลั่งโดพามีน หรือ ฮอร์โมนแห่งความสุข ทำให้เกิดอาการเสพติด และ รู้สึกอยากกินของหวานอยู่ตลอด แม้ว่าการกินของหวาน จะทำให้คุณรู้สึกมีความสุข แต่การบริโภคน้ำตาลที่มากเกินไป ก็จะทำให้ร่างกายต้องทำงานหนักขึ้น และ เป็นบ่อเกิดของโรคต่าง ๆได้เช่นกัน ดังนั้น มาพยายามรับประทานอาหาร ที่มีความหวาน หรือ ขนมหวานให้น้อยลงกันเถอะ เพื่อสุขภาพที่ดี 

อ้างอิง sanook 

อ่านบทความเพิ่มเติม




วันพุธที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2566

ไทยพลัสนิวส์ ราคาทองคำ 27 กันยายน 2566

 ไทยพลัสนิวส์ ราคาทองคำ วันนี้ล่าสุด 27 กันยายน 2566 ลดลง 50 บาท ราคาทองคำแท่ง บาทละ 32,850 บาท

ไทยพลัสนิวส์ เปิดตลาด “ราคาทองคำ ล่าสุดวันนี้” วันพุธที่ 27 กันยายน 2566 ราคาปรับลดลง 50 บาท ตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ณ เวลา 09.26 น. ราคาทองคำแท่งวันนี้ ขายออกบาทละ 32,850 บาท ราคาทองรูปพรรณวันนี้ ขายออกบาทละ 33,350 บาท





ราคาทองคำวันนี้ล่าสุด 27 กันยายน 2566 เช้า/ครั้งที่ 1 ณ เวลา 09.26 น.

วันที่ 27 กันยายน 2566 สมาคมค้าทองคำรายงานว่า ราคาทองไทยวันนี้ ครั้งที่ 1 เมื่อเวลา 09.26 น. พบราคาปรับลดลง 50 บาท ส่งผลให้ “ราคาทองคำแท่ง” รับซื้อบาทละ 32,750 บาท ขายออกบาทละ 32,850 บาท ส่วน “ราคาทองรูปพรรณ” รับซื้อบาทละ 32,154.36 บาท ขายออกบาทละ 33,350 บาท



ราคาทองวันนี้ 1 บาท

ราคาทอง 1 บาท อ้างอิงตามน้ำหนักทองดังนี้ ทองคำแท่ง 1 บาท น้ำหนัก 15.244 กรัม และทองรูปพรรณ 1 บาท น้ำหนัก 15.16 กรัม

ราคาทองคำแท่ง รับซื้อบาทละ 32,750 บาท

ราคาทองคำแท่ง ขายออกบาทละ 32,850 บาท

ราคาทองรูปพรรณ รับซื้อบาทละ 32,154.36 บาท

ราคาทองรูปพรรณ ขายออกบาทละ 33,350 บาท

ราคาทองวันนี้ 2 สลึง (50 สตางค์)

ราคาทองคำ 2 สลึง หรือทองคำ 50 สตางค์ รับซื้อขายออกอ้างอิงตามน้ำหนักทองดังนี้ ทองคำแท่ง 2 สลึง น้ำหนัก 7.622 กรัม และทองรูปพรรณ 2 สลึง น้ำหนัก 7.58 กรัม

ราคาทองคำแท่ง 2 สลึง รับซื้อ 16,375 บาท

ราคาทองคำแท่ง 2 สลึง ขายออก 16,425 บาท

ราคาทองรูปพรรณ 2 สลึง รับซื้อ 16,077.18 บาท

ราคาทองรูปพรรณ 2 สลึง ขายออก 16,675 บาท

ทองคำแท่ง ราคาทองคำ 27 กันยายน 2566

ราคาทองวันนี้ 1 สลึง

ราคาทองคำ 1 สลึง รับซื้อขายออกอ้างอิงตามน้ำหนักทองดังนี้ ทองคำแท่ง 2 สลึง น้ำหนัก 3.811 กรัม และทองรูปพรรณ 1 สลึง น้ำหนัก 3.79 กรัม

ราคาทองคำแท่ง 1 สลึง รับซื้อ 8,187.5 บาท

ราคาทองคำแท่ง 1 สลึง ขายออก 8,212.5 บาท

ราคาทองรูปพรรณ 1 สลึง รับซื้อ 8,038.59 บาท

ราคาทองรูปพรรณ 1 สลึง ขายออก 8,337.5 บาท

ราคาทองวันนี้ครึ่งสลึง

ราคาทองคำครึ่งสลึง รับซื้อขายออกอ้างอิงตามน้ำหนักทองดังนี้ ทองคำแท่งครึ่งสลึง น้ำหนัก 1.905 กรัม และทองรูปพรรณครึ่งสลึง น้ำหนัก 1.89 กรัม

ราคาทองคำแท่งครึ่งสลึง รับซื้อ 4,093.75 บาท

ราคาทองคำแท่งครึ่งสลึง ขายออก 4,106.25 บาท

ราคาทองรูปพรรณครึ่งสลึง รับซื้อ 4,019.29 บาท

ราคาทองรูปพรรณครึ่งสลึง ขายออก 4,168.75 บาท

อย่างไรก็ตาม ราคาดังกล่าวยังไม่รวมค่ากำเหน็จ และราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ กรุณาสอบถามเจ้าหน้าที่ของร้านทองอีกครั้ง

อ้างอิง : สมาคมค้าทองคำ

อ่านบทความเพิ่มเติม




ไทยพลัสนิวส์ สภาพอากาศ 27 กันยายน 2566

 ไทยพลัสนิวส์ สภาพอากาศ 27 กันยายน 2566 ประเทศไทยยังคงมีฝนตกสะสม ระวังน้ำท่วมฉับพลัน

ไทยพลัสนิวส์ สภาพอากาศ 27 กันยายน 2566 พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับแนวร่องมรสุมกำลังปานกลางพาดผ่านประเทศไทยตอนบน ขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังค่อนข้างแรงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคกลางตอนล่าง ภาคตะวันออก ภาคใต้ และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคเหนือ ภาคกลางรวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ มีฝนตกหนักหลายพื้นที่และมีฝนตกหนักมากบางแห่ง




ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม รวมทั้งเพิ่มความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองและหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ และป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรงไว้ด้วย

สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังแรงขึ้น โดยทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่างและอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง เรือเล็กบริเวณทะเลอันดามันตอนบนควรงดออกจากฝั่งในระยะนี้

พยากรณ์อากาศ สภาพอากาศ 27 กันยายน 2566

พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทย 06:00 น. วันนี้ ถึง 06:00 น. วันพรุ่งนี้



ภาคเหนือ

มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 80 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง

บริเวณจังหวัดแม่ฮ่องสอน-เชียงใหม่-เชียงราย-ลำพูน-ลำปาง-พะเยา-น่าน-แพร่-สุโขทัย-อุตรดิตถ์-ตาก-กำแพงเพชร-พิจิตรพิษณุโลก และเพชรบูรณ์

อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส

อุณหภูมิสูงสุด 29-34 องศาเซลเซียส

ลมแปรปรวน ความเร็ว 5-15 กม./ชม.


ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 80 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักถึงหนักมากกับมีลมกระโชกแรงบางแห่ง

บริเวณจังหวัดเลย-หนองคาย-บึงกาฬ-หนองบัวลำภู-อุดรธานี-สกลนคร-ชัยภูมิ-ขอนแก่น-กาฬสินธุ์-มุกดาหาร-มหาสารคามร้อยเอ็ด-นครราชสีมา-บุรีรัมย์ และสุรินทร์

อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส

อุณหภูมิสูงสุด 27-31 องศาเซลเซียส

ลมแปรปรวน ความเร็ว 10-25 กม./ชม.


ภาคกลาง

มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง

บริเวณจังหวัดนครสวรรค์-อุทัยธานี-ชัยนาท-สิงห์บุรี-อ่างทอง-พระนครศรีอยุธยา-ลพบุรี-สระบุรี-กาญจนบุรี-สุพรรณบุรี-ราชบุรี-นครปฐม-สมุทรสงคราม และสมุทรสาคร

อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส

อุณหภูมิสูงสุด 31-34 องศาเซลเซียส

ลมแปรปรวน ความเร็ว 10-20 กม./ชม.


ภาคตะวันออก

มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 80 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง

บริเวณจังหวัดนครนายก-ปราจีนบุรี-สระแก้ว-ฉะเชิงเทรา-ชลบุรี-ระยอง-จันทบุรี และตราด

อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส

อุณหภูมิสูงสุด 27-32 องศาเซลเซียส

ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-35 กม./ชม.

ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร


ภาคใต้(ฝั่งตะวันออก)

มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง

บริเวณจังหวัดเพชรบุรี-ประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร-สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช

อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-35 องศาเซลเซียส

ตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานีขึ้นมา : ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-35 กม./ชม.

ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

ตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชลงไป : ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 15-35 กม./ชม.

ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

ภาคใต้(ฝั่งตะวันตก)

มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 80 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง

บริเวณจังหวัดระนอง-พังงา-ภูเก็ต และกระบี่

อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 29-32 องศาเซลเซียส

ตั้งแต่จังหวัดพังงาขึ้นมา : ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-40 กม./ชม.

ทะเลมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร

ตั้งแต่จังหวัดภูเก็ตลงไป : ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-35 กม./ชม.

ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร

กรุงเทพและปริมณฑล

มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง

อุณหภูมิต่ำสุด 25-27 องศาเซลเซียส

อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศาเซลเซียส

ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม.

อ้างอิง : กรมอุตุนิยมวิทยา | พยากรณ์อากาศประจำวัน (tmd.go.th)

อ่านบทความเพิ่มเติม




ไทยพลัสนิวส์ น้ำ “สกัดเย็น”

 ไทยพลัสนิวส์ น้ำ “สกัดเย็น” (cold pressed) มีประโยชน์จริงหรือ?
ไทยพลัสนิวส์ น้ำ “สกัดเย็น” เทรนด์สุขภาพมาใหม่เรื่อยๆ จนเราเริ่มตามไม่ค่อยทัน แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นของดีมีประโยชน์ เราก็อยากหามาลองทานกันเพื่อให้ตัวเองรู้สึกว่าเรากำลังดูแลสุขภาพตัวเองอย่างเต็มที่ สำหรับเทรนด์น้ำ “สกัดเย็น” เชื่อว่าหลายคนน่าจะเคยเห็น หรือเคยซื้อทานกันมาบ้าง แต่อาจจะไม่รู้ว่าการสกัดเย็นเป็นอย่างไร แล้วมีประโยชน์กว่าน้ำผลไม้ หรือเครื่องดื่มปกติอย่างไร ลองมาอ่านกันเลยดีกว่า




สกัดเย็น คืออะไร?

การสกัดเย็น (cold pressed) คือการแยกส่วนของน้ำออกมาจากส่วนต่างๆ ของพืชอย่าง เมล็ด หัว ใบ ดอก ผล และเปลือก โดยการบีบอัดที่อุณหภูมิปกติ พืชที่นำมาสกัดเย็นจะต้องไม่ผ่านความร้อนหรือสารเคมีมาก่อนแล้วตั้งทิ้งไว้จนตกตะกอน จากนั้นจึงกรองเอาเฉพาะส่วนของน้ำมันที่บริสุทธิ์มาใช้

ในกรณีที่เป็นการสกัดน้ำมัน เช่น น้ำมันมะพร้าว น้ำมันที่ได้จะใส สะอาด ไม่มีกลิ่นหืน และยังคงสภาพวิตามินต่างๆ ตามธรรมชาติไว้อย่างครบถ้วน หากเป็นการสกัดเย็นจากผลไม้ ก็จะเป็นน้ำผลไม้ที่ได้คุณค่าทางสารอาหารครบถ้วนเช่นกัน โดยที่สี และรสชาติของน้ำผลไม้ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

เครื่องดื่มสกัดเย็น VS น้ำปั่นผลไม้แยกกาก VS น้ำผลไม้กล่อง

หลายคนอาจเคยซื้อน้ำปั่นผลไม้แยกกากมาทาน รูปร่างหน้าตาคล้ายน้ำผลไม้สกัดเย็น แต่การใช้เครื่องปั่นอาจทำให้เกิดความร้อนขึ้นระหว่างการปั่น จึงอาจทำให้เอนไซม์ และวิตามินบางส่วนถูกทำลายหายไป

ส่วนน้ำผลไม้กล่อง เป็นน้ำผลไม้ที่ผ่านการพาสเจอร์ไรซ์ ซึ่งเป็นกระบวนการที่จะต้องผ่านความร้อน ดังนั้นจึงอาจทำให้สูญเสียคุณค่าทางสารอาหารไปบ้าง รวมถึงรสชาติ และสีเปลี่ยนไป จึงต้องมีการเติมกลิ่น รส สีเข้าไปใหม่ ทั้งสีสังเคราะห์ และน้ำตาล (ในบางยี่ห้อ)

เครื่องดื่มสกัดเย็น VS ผลไม้สด

อย่างไรก็ตาม แม้ว่ากระบวนการในการทำน้ำผลไม้สกัดเย็น จะช่วยคงคุณค่าทางสารอาหาร รสชาติ และกลิ่นเอาไว้ได้อย่างครบถ้วน แต่สิ่งที่ขาดหายไปคือ “กากใยอาหาร” ที่เป็นหนึ่งในส่วนสำคัญของผักผลไม้ ที่เป็นส่วนที่มีวิตามินอยู่มาก และยังช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย ดังนั้นหากสามารถเลือกได้ ผลไม้สดก็ยังคงมีคุณค่าทางสารอาหารที่ครบถ้วนที่สุดอยู่ดี

อย่าลืมทานผักผลไม้ให้หลากหลายชนิด เพื่อให้ได้วิตามิน เกลือแร่ และสารอาหารต่างๆ ครบถ้วน ดื่มน้ำมากๆ ออกกำลังกายเป็นประจำ และพักผ่อนให้เพียงพอ เท่านี้ก็ทำให้สุขภาพของเราแข็งแรงได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องหาเทรนด์อาหารใหม่ๆ มาทานก็ได้



น้ำผักและผลไม้ น้ำ “สกัดเย็น”

อ้างอิง : สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)

อ่านบทความเพิ่มเติม




ไทยพลัสนิวส์ 9 วิธีแก้ไอตอนกลางคืนแบบง่ายๆ

 ไทยพลัสนิวส์ 9 วิธีแก้ไอตอนกลางคืนแบบง่ายๆ ที่ทำได้ด้วยตัวเอง
ไทยพลัสนิวส์ 9 วิธีแก้ไอตอนกลางคืนแบบง่ายๆ การรู้จักวิธีแก้ไอตอนกลางคืนเป็นสิ่งที่หลายคนกำลังมองหา เนื่องจากอาการไออาจก่อให้เกิดความรำคาญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไอตอนกลางคืนและรบกวนการนอนหลับ ซึ่งการไอตอนกลางคืนอาจส่งผลให้รู้สึกปวดหัว หงุดหงิดง่าย เหนื่อยล้า คิดช้า และไม่มีสมาธิ ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ร่างกายนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ





การไอจะเกิดขึ้นเมื่อมีสิ่งระคายเคืองอยู่ในลำคอหรือทางเดินหายใจ เช่น ฝุ่นหรือเสมหะ ร่างกายของเราจึงไอเพื่อกำจัดสิ่งนั้นออกไป การไอมีปัจจัยมาหลายสาเหตุ เช่น ไข้หวัด อาการแพ้ หอบหืด ไซนัสอักเสบ การสูบบุหรี่ โดยอาการไอมักรุนแรงขึ้นในตอนกลางคืน ซึ่งอาจเป็นผลมาจากท่าทางการนอน สภาพแวดล้อมภายในห้องนอน และฝุ่นหรือไรฝุ่นจากที่นอน



วิธีแก้ไอตอนกลางคืน

วิธีแก้ไอตอนกลางคืนทำได้หลายวิธี ซึ่งอาจช่วยบรรเทาทั้งอาการไอแห้งและไอแบบมีเสมหะ โดยมีวิธีดังนี้

1. การดื่มน้ำอุ่น

วิธีแก้ไอตอนกลางคืนสามารถทำได้โดยการดื่มน้ำอุ่นหรือน้ำร้อน โดยน้ำอุ่นอาจช่วยละลายเสมหะในลำคอและบรรเทาอาการเจ็บคอได้ นอกจากนี้ การดื่มเครื่องดื่มร้อนอื่น ๆ เช่น ชาร้อน ก็อาจช่วยบรรเทาอาการไอตอนกลางคืนได้เช่นกัน

2. เปลี่ยนท่านอน

ท่านอนอาจเป็นสาเหตุให้อาการไอตอนกลางคืนรุนแรงขึ้น เนื่องจากเสมหะหรือน้ำมูกอาจไหลไปสะสมอยู่ที่ลำคอ ทำให้คอระคายเคืองและก่อให้เกิดอาการไอได้ ดังนั้น วิธีแก้ไอตอนกลางคืนอาจทำได้โดยการปรับเปลี่ยนท่านอน เช่น นอนตะแคงและนอนโดยให้ศีรษะยกสูงขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่ควรสูงเกินไปเพราะอาจทำให้ปวดคอได้

3. กลั้วคอด้วยน้ำเกลือ

วิธีแก้ไอตอนกลางคืนอาจใช้การกลั้วคอด้วยน้ำเกลือเพื่อขจัดเสมหะหรือสิ่งแปลกปลอมที่อยู่ในทางเดินอากาศให้โล่งขึ้น นอกจากนี้ การกลั้วคออาจช่วยบรรเทาอาการไอที่เกิดจากอาการแพ้ โรคหอบหืด และการติดเชื้อ เพียงผสมเกลือครึ่งช้อนชาและน้ำอุ่น 240 มิลลิลิตร กลั้วคอไว้สักพักและบ้วนทิ้ง

4. กินอาหารหรือสมุนไพรแก้ไอ

วิธ๊แก้ไอตอนกลางคืนด้วยการกินอาหารหรือสมุนไพรบางชนิดเป็นวิธีที่ทำได้ไม่ยาก เพราะเป็นวัตถุดิบที่สามารถหาซื้อได้ทั่วไป ตัวอย่างของสมุนไพรหรืออาหารต่าง ๆ ที่อาจช่วยบรรเทาอาการไอตอนกลางคืน เช่น

ขิง การกินขิงหรือน้ำขิงร้อนอาจช่วยบรรเทาอาการระคายเคืองคอและทางเดินหายใจ ซึ่งอาจส่งผลให้อาการไอตอนกลางคืนดีขึ้น

น้ำผึ้ง การกินน้ำผึ้งอาจช่วยรักษาอาการไอตอนกลางคืนและลดเสมหะได้ แต่ไม่เหมาะสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี เนื่องจาก อาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคโบทูลิซึม (Botulism) หรือโรคอาหารเป็นพิษชนิดหนึ่งได้

น้ำมะนาว การดื่มน้ำมะนาวอาจช่วยรักษาอาการไอตอนกลางคืนได้ น้ำมะนาวสามารถดื่มได้หลายวิธี เช่น ผสมกับน้ำอุ่น หรือผสมกับขิง น้ำผึ้งและน้ำอุ่น เพื่อช่วยให้อาการไอตอนกลางคืนลดลง

สับปะรด การกินสับปะรดหรือดื่มน้ำสับปะรดอาจทำให้ร่างกายได้รับเอนไซม์โบรมีเลน (Bromelain) จากสับปะรด ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยละลายเสมหะและลดอาการไอตอนกลางคืนได้

9 วิธีแก้ไอตอนกลางคืนแบบง่ายๆ เช่น การเปลี่ยนท่านอน

5. การใช้ยาอมแก้ไอ

การใช้ยาอมแก้ไอเป็นอีกหนึ่งวิธีในการแก้ไอตอนกลางคืน โดยการใช้ยาอมแก้ไออาจช่วยให้คอชุ่มชื้นและบรรเทาอาการเจ็บคอหรือระคายเคืองคอ ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดการไอตอนกลางคืนได้

ทั้งนี้ การใช้ยาอมแก้ไอควรปฏิบัติตามคำแนะนำบนฉลากยา เนื่องจากการใช้ยาอมแก้ไอมากเกินไปอาจทำให้อาการไอรุนแรงขึ้น นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาอมในเด็กอายุน้อยกว่า 6 ปี เพราะอาจเสี่ยงต่อยาอมติดคอได้

6. ใช้เครื่องฟอกอากาศ

วิธีแก้ไอตอนกลางคืนอาจทำได้โดยการใช้เครื่องฟอกอากาศ โดยเครื่องฟอกอากาศอาจช่วยดักจับสิ่งสกปรกในอากาศที่ก่อให้เกิดอาการไอตอนกลางคืน เช่น ฝุ่นละออง ควัน ขนสัตว์ เกสรดอกไม้ เชื้อแบคทีเรีย และเชื้อไวรัส ดังนั้น การใช้เครื่องฟอกอากาศจึงอาจช่วยให้อากาศปราศจากสิ่งที่อาจก่อให้เกิดอาการแพ้และบรรเทาอาการไอตอนกลางคืนได้

7. หลีกเลี่ยงสิ่งที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง

อาการไอตอนกลางคืนอาจเกิดจากการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองทางเดินหายใจ เช่น สถานที่ที่มีฝุ่นหรือควันเยอะ วิธีแก้ไอตอนกลางคืนอาจทำได้ดังนี้

ปิดหน้าต่างเพื่อป้องกันไม่ให้ฝุ่นละอองกหรือควันลอยเข้ามาในห้อง

ใช้ชุดเครื่องนอนที่ช่วยป้องกันไรฝุ่นและควรทำความสะอาดชุดเครื่องนอนด้วยน้ำร้อนทุกสัปดาห์ เพื่อกำจัดไรฝุ่น ซึ่งอาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดการไอตอนกลางคืน

อาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าหลังออกไปข้างนอก เพื่อชำระล้างสิ่งสกปรกที่อาจติดอยู่บนร่างกาย

8. เลิกสูบบุหรี่

การสูบบุหรี่หรือสูดดมกลิ่นบุหรี่เป็นระยะเวลานานอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการไอตอนกลางคืน โดยอาการไออาจเป็นวิธีกำจัดสารพิษหรือสารเคมีในบุหรี่ออกจากทางเดินหายใจ ดังนั้น การเลิกสูบบุหรี่หรือหลีกเลี่ยงการสูดดมควันบุหรี่ อาจเป็นวิธีที่ช่วยบรรเทาอาการไอตอนกลางคืนได้

9. กินยาบรรเทาอาการไอ

การกินยาอาจเป็นวิธีแก้ไอตอนกลางคืนที่มีประสิทธิภาพ โดยอาจกินยาขับเสมหะและยาแก้ไอเพื่อลดเสมหะให้น้อยลงและบรรเทาอาการไอให้ดีขึ้น วิธีนี้อาจเหมาะสำหรับอาการไอที่เรื้อรังหรือก่อให้เกิดความรู้สึกไม่สบายและรบกวนการนอนหลับ ทั้งนี้ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำบนฉลากยาหรืออาจปรึกษาเภสัชกรก่อนใช้ยาเพื่อความปลอดภัย

หากลองทำตามวิธีแก้ไอตอนกลางคืนแล้ว แต่ยังคงมีอาการไอตอนกลางคืนนานเกิน 7 วัน หรือมีอาการเพิ่มเติม เช่น มีไข้เกิน 38 องศาเซลเซียส หายใจมีเสียงหวีด หายใจลำบาก เจ็บหน้าอก น้ำหนักลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ และมีเลือดปนเสมหะ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาอย่างเหมาะสมต่อไป

อ้างอิง : พบแพทย์

อ่านบทความเพิ่มเติม




ไทยพลัสนิวส์ 10 อาหารที่กินแล้วทำให้ แก่วัย

 ไทยพลัสนิวส์ 10 อาหารที่กินแล้วทำให้ แก่วัย ไทยพลัสนิวส์ 10 อาหารที่กินแล้วทำให้ แก่วัย เรื่องของอาหารการกิน ยังไงก็เป็นเรื่องที่สำคัญ ต่อร...