วันพุธที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2566

เกาะเฮ จังหวัดภูเก็ต

เกาะเฮ หรือ คอรัลไอแลนด์ (อังกฤษ: Coral Island) เป็นเกาะเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ในตำบลราไวย์ อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต ห่างจากชายฝั่งภูเก็ตประมาณ 10 กิโลเมตร เป็นเกาะท่องเที่ยวยอดนิยมของภูเก็ต มีกิจกรรมการท่องเที่ยวเช่นดำน้ำตื้น พาราเซลลิง พายเรือแคนูใส เล่นบานานาโบต เกาะเฮมีพื้นที่ 1.774 ตารางกิโลเมตรมีความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรทางทะเล น้ำทะเลใส หาดทรายขาวสะอาด มีปะการังหลากชนิดเช่น ปะการังสมอง ปะการังผักกาด ปะการังเขากวาง ปะการังจาน และยังเป็นแหล่งดูนกเงือก นกแก๊ก เป็นแหล่งอาศัยของนกเงือกจำนวนหลายตัว (ไม่น้อยกว่า 20 คู่)เกาะเฮมีหาดอยู่ 2 หาด โดยหาดด้านหน้าเป็นหาดสาธารณะที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะมาเที่ยวที่หาดนี้กัน อีกหาดคือหาดกล้วยซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของบานาน่าบีช





ข้อมูลทั่วไป

สวรรค์ของคนรักทะเล ต้องเทใจให้ “เกาะเฮ” จังหวัดภูเก็ต

เกาะที่เพียบพร้อมไปด้วยเสน่ห์ของน้ำทะเลใส หาดทรายขาว ปะการังสวย แถมยังมีกิจกรรมในแบบ ECO เอาใจสายรักษ์โลก อย่าง 5 กิจกรรมทางทะเลแบบไร้เครื่องยนต์ ให้ทุกคนได้สนุกไปกับธรรมชาติแต่ไม่ทำร้ายสิ่งแวดล้อม ว่าแล้วก็หาข้อมูล เตรียมตัวไว้ก่อนจะไปฮาเฮริมชายหาดกัน!



Snorkelling เห็นน้ำทะเลใสแจ๋วอยู่ตรงหน้า ใครจะอดใจไหว รีบคว้าหน้ากากลงไปดำผุดดำว่ายกับสหายปลาเล็กปลาน้อย อยู่กับความเงียบใต้ท้องทะเล และลืมเรื่องเครียด ๆ กัน

Sunbathe เทรนด์ผิวแทนรับซัมเมอร์กำลังมา น่าปูผ้านั่งชิลบนผืนทรายหรือจับจองเก้าอี้ริมชายหาด ใช้เวลาไปกับการอ่านหนังสือ ฟังเพลง หรือนอนอาบแดดฟังเสียงคลื่น

Clear Kayak มิติใหม่ของการพายคายักที่ให้ความรู้สึกเหมือนลอยได้ กับ คายักท้องใส หรือ Clear Kayak จะได้เพลินไปกับการนั่งมองปลาแหวกว่ายใต้ท้องเรือ หรือพายสำรวจเกาะชมความสมบูรณ์ของธรรมชาติ คายักท้องใสนับเป็นหนึ่งในกิจกรรมยอดฮิตของเกาะเฮ ที่มีให้บริการแก่นักท่องเที่ยว

Floating on Donut ห่วงยางเล่นน้ำไม่ใช่เรื่องของเด็ก ๆ อีกต่อไป แต่เป็นสิ่งที่สาว ๆ ต้องมี เพราะห่วงยางสมัยนี้ดีไซน์เก๋ไก๋ทั้งรูปทรงโดนัท นกฟลามิงโก้ แตงโม เหมาะกับการเป็นพร็อพเพิ่มสีสันให้ท้องทะเล และยังเป็นเบาะลอยน้ำให้สาว ๆ เล่นน้ำกันแบบน่ารักสุด ๆ

Discovery Scuba Diving ความท้าทายอีกขั้นที่มาพร้อมกับความงามขั้นกว่า กับคอร์สเปิดโลกดำน้ำลึก หรือ สกูบา ไดฟ์วิ่ง สำหรับมือใหม่ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ ตั้งแต่ทำความรู้จักอุปกรณ์ไปจนถึงลงทะเลกับกูรู ด่ำดิ่งไปอยู่อีกโลกที่เต็มไปด้วยสีสันของปะการัง



ประวัติ เกาะเฮ

เกาะเฮ หรือ เกาะปะการัง เกาะเฮเป็นเกาะเล็กๆ เกาะหนึ่ง ตั้งอยู่ทางใต้สุดของจังหวัดภูเก็ต ห่างจากชายฝั่งภูเก็ตประมาณประมาณ 10 ก.ม. สามารถเดินทางท่องเที่ยวได้โดยเรือสปีดโบ๊ทเพียง 10-15 นาที และโดยเรือหางยาวประมาณ 45 นาที มีแนวปะการังจากหาดไปจนถึงระยะ 100 เมตร ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของปะการังในบริเวณนี้ เกาะเฮจึงมีชื่อภาษาอังกฤษว่า “Coral Island” และเป็นเกาะที่เหมาะสำหรับการดำน้ำมากที่สุด

บนเกาะเฮแห่งนี้มีชายฝั่งที่ตื้นมีน้ำทะเลสีฟ้าใสแนวปะการังรอบ ๆ กิจกรรมทางน้ำต่างๆ เช่น เล่นเจ็ตสกี บานาน่าโบ๊ท เรือลากร่ม หรือดำน้ำชมปลา ชมปะการัง พาราเซล ซีวอคเกอร์

ได้รับการปกป้องดูแลโดยอุทยานและบนเกาะแห่งนี้ยังมีโรงแรมคอรัลไอส์แลนด์รีสอร์ท บังกะโลและร้านอาหาร อย่างไรก็ตามไม่มีสถานบันเทิงยามค่ำคืนที่นี้ หลังจากพระอาทิตย์ตกดินเมื่อนักท่องเที่ยวทั้งหมดออกจากชายฝั่งจะมีเพียงแขกของโรงแรมเท่านั้นที่อยู่บนเกาะเฮแห่งนี้

เกาะเฮแห่งนี้ยังมีชายหาดอีก2 แห่งคือ Long Beach และ ฺบานาน่าบีช ตั้งอยู่ทางด้านเหนือของเกาะเป็นทะเลที่สงบและได้รับความนิยมมากที่สุดเกาะเฮมีความยาวของหน้าหาดอยู่ที่ 800 เมตรหากต้องการเดินทางไปยัง Long Beach และ บานาน่าบีช เจ้าหน้าที่บนเกาะยังมีเรือบริการนักท่องเที่ยวเช่นกัน



การเดินทางไปเกาะเฮ

การเดินทางไปเกาะเฮ สามารถเช่าเรือจากฝั่งหน้าหาดราไวย์ ใช้เวลาเดินทางโดยสปีดโบ๊ทเพียง30นาที ใช้เวลาบนเกาะ 3-4 ชั่วโมง. ยังสามารถขึ้นเรือได้ที่ท่าเทียบเรืออ่าวฉลอง หากต้องการพักบนเกาะเฮมีรีสอรท์ชื่อว่า คอรัล ไอร์แลนด์ รีสอร์ทมีแพ็คเกจห้องพักพร้อมจะได้รับ คือ เรือสปีดโบ๊ทไป-กลับ จากท่าเรือไปที่พัก,ห้องพักบังกะโลส่วนตัว, อาหารเช้าบุฟเฟ่ต์ , อุปกรณ์ดำน้ำตื้น , พายเรือคายัค

อ่านบทความเพิ่มเติม

พาเที่ยว เขื่อนกิ่วลม



พาเที่ยว เขื่อนกิ่วลม

เขื่อนกิ่วลม เป็นเขื่อนในการดูแลของกรมชลประทาน ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองลำปางขึ้นไปทางทิศเหนือตามถนนพหลโยธิน ประมาณ 38 กิโลเมตรเศษ แยกซ้ายกิโลเมตรที่ 623 เข้า ไปอีก 14 กิโลเมตร ปิดกั้น แม่น้ำวัง ซึ่งเป็นแควที่มีขนาดเล็กและสั้นที่สุดของแม่น้ำเจ้าพระยา อยู่ในท้องที่จังหวัดลำปางเพียงจังหวัดเดียวเกือบตลอดสาย และไหลลงสู่แม่น้ำปิงในเขตจังหวัดตาก แม่น้ำวังมีพื้นที่ลุ่มน้ำแคบ ประกอบกับมีฝนน้อยกว่าลุ่มน้ำอื่น ๆ ในภาคนี้ แม่น้ำจึงเล็ก แต่น้ำขึ้นและลงในเวลาอันรวดเร็ว กับมีระยะเวลาขาดแคลนน้ำค่อนข้างมาก การทำนาจึงขึ้นอยู่กับฝนเป็นส่วนใหญ่ ทำให้เกษตรกรได้รับความเดือดร้อนเป็นอันมาก และข้าวที่ปลูกได้ก็น้อยจนไม่พอบริโภคในจังหวัด เพื่อเป็นการแก้ไขความเดือดร้อนเกี่ยวกับเรื่องน้ำเพื่อการเพาะปลูกของราษฎรในขั้นแรกนั้น กรมชลประทานได้พิจารณาสร้างโครงการชลประทานแม่วังซึ่งเป็นโครงการประเภททดและส่งน้ำแบบเหมืองฝายขึ้นเป็นโครงการแรกเมื่อ พ.ศ. 2478 ต่อมา เมื่อความต้องการน้ำเพื่อการเพาะปลูกเพิ่มขึ้น กรมชลประทานจึงสร้างเขื่อนเก็บกักน้ำกิ่วลมที่ตำบลบ้านแลง อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง เพื่อเก็บกักน้ำบนแม่น้ำวัง และสามารถส่งให้ราษฎรทำการเพาะปลูกได้ตลอดปี เขื่อนกิ่วลมเป็นเขื่อนเก็กน้ำแห่งแรกในภาคเหนือ และเริ่มเก็บน้ำได้ในปี 2515








ลักษณะตัวเขื่อน

เป็นเขื่อนเก็บกักน้ำคอนกรีตเสริมเหล็ก

สูง 26.50 ม. ยาว 135 ม. มีช่องระบายกว้าง 13.00 ม. จำนวน 5 ช่อง

ระดับสันเขื่อน + 236.00 ร.ท.ก.

ระดับเก็บกัก + 285.00 ร.ท.ก. ระดับน้ำเก็บกักสูงสุด 285.00 ร.ท.ก.

ปริมาณน้ำที่ระดับเก็บกัก 112 ล้าน ลบ.ม.ปริมาณน้ำที่ระดับเก็บกักสูงสุด 112 ล้าน ลบ.ม.

อาณาเขตรับน้ำ 2,700 ตร.กม. พื้นที่อ่าง ฯ ที่ระดับเก็บกักสูงสุด 19 ตร.กม. ปริมาณฝนเฉลี่ย 1,200 มม./ปี

Service Spillway ขนาด 1.25 x 2.00 ม. ระบายน้ำได้ 12.00 ลบ.ม./วินาที

ทางระบายน้ำฉุกเฉิน ขนาด 13.00 x 8.00 ม. ระบายน้ำได้ 3,000 ลบ.ม./วินาที

คลองส่งน้ำสายใหญ่ฝั่งขวา ยาว 40.30 กม. ปริมาณน้ำผ่านเต็มที่ 25.00 ลบ.ม./วินาที คลองซอยและคลองแยกซอย 31 สาย ยาวรวม 71.60 กม.

เขื่อนกิ่วลมขณะก่อสร้างถูกใช้เป็นฉากของเรื่องสั้นชุดชาวเขื่อนโดย มนันยา มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับชีวิตของข้าราชการกรมชลประทานและเหล่าคนงานก่อสร้าง เธอได้รับแรงบันดาลใจในการแต่งจากการติดตามสามีของเธอที่เป็นหนึ่งในข้าราชการควบคุมการก่อสร้าง เรื่องสั้นถูกตีพิมพ์เป็นตอนๆ ในนิตยสาร สตรีสาร และต่อมาได้มีการรวมเล่มเป็นหนังสือ 3 เล่ม ในชื่อ ชาวเขื่อน, เอ แมน คอลด์ เป๋ง และ ลาก่อนกิ่วลม





ข้อมูลทั่วไป

ตั้งอยู่ตำบลบ้านแลง อยู่ภายใต้การดูแลของของสำนักชลประทานที่ 2 กรมชลประทาน เป็นเขื่อนคอนกรีตขนาดใหญ่และเป็นเขื่อนกักเก็บน้ำแห่งแรกในภาคเหนือ บริเวณเหนือเขื่อนเป็นอ่างเก็บน้ำที่มีทิวทัศน์สวยงาม เหมาะสำหรับการพักผ่อนและเล่นกิจกรรมทางน้ำ เช่น ล่องแพ พายเรือ และมีสถานที่น่าสนใจ ได้แก่ แหลมชาวเขื่อน ผาเกี๋ยงผางาม เกาะวังแก้ว หมู่บ้านชาวประมงบ้านสา นอกจากนี้ยังมีบริการแพพักค้างคืนไว้บริการนักท่องเที่ยวอีกด้วย สอบถามข้อมูล แพชาวเขื่อน-กิ่วลมรีสอร์ท โทร. 0 5422 3772, 0 5433 4393 และแพวังแก้ว โทร. 0 5422 3733, 0 5432 5645 และ 08 9854 1293




ข้อมูลสถานที่

ประวัติเขื่อนกิ่วลม พ.ศ. 2511 กรมชลประทานได้พัฒนาลำน้ำวังโดยได้ทำการก่อสร้างโครงการชลประทานกิ่วลม เขื่อนเก็บกักน้ำ ระบบส่งน้ำและอาคารประกอบต่างๆ แล้วเสร็จในปี 2511 มีลักษณะเป็นเขื่อนคอนกรีตเสริมเหล็กแบบ Gravity Dam ตัวเขื่อนมีความสูงจากท้องน้ำเดิม 26.5 เมตร กว้าง 5.35 เมตร ยาว 135 เมตร ปริมาณเก็บกักน้ำสูงสุด 112 ล้านลูกบาศก์เมตร และต่ำสุด 6 ล้านลูกบาศก์เมตร สามารถส่งน้ำช่วยเหลือพื้นที่เพื่อการเกษตรในเขตอำเภอเมือง และบางส่วนของอำเภอเกาะคา อำเภอแม่ทะ และอำเภอห้างฉัตร มีพื้นที่ประมาณ 240,000 ไร่ และส่งน้ำเพื่อการผลิตน้ำประปาในเทศบาลนครลำปาง

 เขื่อนกิ่วลม อยู่ที่ตำบลบ้านแลง ห่างจากตัวเมืองไป 38 กิโลเมตร ตามเส้นทางสายลำปาง -งาว โดยแยกซ้ายตรงหลักกิโลเมตรที่ 623 – 624 เลี้ยวซ้ายเข้าไปอีก 14 กิโลเมตร เขื่อนกิ่วลมอยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติถ้ำผาไท แต่อยู่ภายใต้การดูแลของกรมชลประทาน บริเวณเหนือเขื่อนเป็นอ่างเก็บน้ำเหมาะแก่การล่องเรือหรือแพ เพราะมีทัศนียภาพสวยงาม การล่องแพใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งวัน มีสถานที่น่าสนใจ เช่น แหลมชาวเขื่อน ผาเกี๋ยง ผางาม ทะเลสาบสบพุ หมู่บ้านชาวประมงบ้านสา ฯลฯ ติดต่อบริการล่องแพได้ที่บริเวณเขื่อน



ลักษณะเด่น

พื้นที่น้ำเหนือเขื่อน

ประวัติ เขื่อนกิ่วลม

ประวัติเขื่อนกิ่วลม พ.ศ. 2511 กรมชลประทานได้พัฒนาลำน้ำวังโดยได้ทำการก่อสร้างโครงการชลประทานกิ่วลม เขื่อนเก็บกักน้ำ ระบบส่งน้ำและอาคารประกอบต่างๆ แล้วเสร็จในปี 2511 มีลักษณะเป็นเขื่อนคอนกรีตเสริมเหล็กแบบ Gravity Dam ตัวเขื่อนมีความสูงจากท้องน้ำเดิม 26.5 เมตร กว้าง 5.35 เมตร ยาว 135 เมตร ปริมาณเก็บกักน้ำสูงสุด 112 ล้านลูกบาศก์เมตร และต่ำสุด 6 ล้านลูกบาศก์เมตร สามารถส่งน้ำช่วยเหลือพื้นที่เพื่อการเกษตรในเขตอำเภอเมือง และบางส่วนของอำเภอเกาะคา อำเภอแม่ทะ และอำเภอห้างฉัตร มีพื้นที่ประมาณ 240,000 ไร่ และส่งน้ำเพื่อการผลิตน้ำประปาในเทศบาลนครลำปาง

อ่านบทความเพิ่มเติม





พาเที่ยว ตึกชิโนโปรตุกีส

 สถาปัตยกรรมจีน-โปรตุเกส (อังกฤษ: Sino-Portuguese Architecture) คือรูปแบบของสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานกันระหว่างตะวันออกกับตะวันตก คือ โปรตุเกส จีน และมลายูในแหลมมลายูสมัยจักรวรรดินิยมตะวันตก ราวปี พ.ศ. 2054 สามารถพบเห็นได้ในมะละกา ปีนัง สิงคโปร์ มาเก๊า รวมถึงไทย เช่น ในเขตเทศบาลนครภูเก็ตซึ่งมีจำนวนมากและสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทยสถาปัตยกรรมจีน-โปรตุเกสเดินทางเข้าสู่ประเทศไทยในสมัยที่พระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี (คอซิมบี้ ณ ระนอง) เป็นสมุหเทศาภิบาลสำเร็จราชการมณฑลภูเก็ต ในช่วงปี พ.ศ. 2444–2456 ตรงกับสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระยารัษฎานุประดิษฐ์ฯ ถือเป็นผู้ที่พัฒนาเมืองภูเก็ตให้มีความเจริญในทุก ๆ ด้าน โดยเฉพาะการวางผังเมืองภูเก็ตใหม่ในระบบกริดตาราง



ข้อมูลทั่วไป

อาคารรุ่นเก่าในตัวเมืองภูเก็ต ที่เป็นทั้งบ้านเรือน ร้านค้า สถานที่ราชการ ธนาคาร และอื่น ๆ อีกมากมาย ส่วนใหญ่เป็นตึกซึ่งสร้างขึ้นเมื่อสมัยเกือบร้อยปีมาแล้ว ลักษณะของตัวอาคารเป็นการผสมผสานสถาปัตยกรรมแบบจีนและยุโรป เรียกว่า สถาปัตยกรรมแบบชิโน-โปรตุกีส(Chinois Postugess)

คุณค่าของความเป็นเมืองเก่าภูเก็ตที่ยังคงได้รับการเก็บรักษาเป็นอย่างดี และกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวชั้นนำที่ผู้มาเยือนทุกคนต้องแวะเวียนมาเยี่ยมชมกันให้ได้ นั่นคือกลุ่มตึกสไตล์ชิโน-โปรตุกีส ที่สะท้อนถึงความรุ่งเรืองในยุคเหมืองแร่เฟื่องฟูบนภูเก็ตครั้งหนึ่งในอดีต คุณจะได้รื่นรมย์ประวัติศาสตร์สนุก ๆ เรียนรู้เรื่องราวแห่งสถาปัตยกรรมอันทรงคุณค่า สบาย ๆ ชิล ๆ ไปกับคาเฟ่น่ารักที่ดัดแปลงจากตึกเก่าเหล่านั้นมาเปิดต้อนรับนักท่องเที่ยว ทั้งหมดนี้คือความสุขจากย่านเก่าภูเก็ตที่ต้องเก็บไว้ในลิ้นชักแห่งความทรงจำ เรียนรู้…ชิโน-โปรตุกีส ในอดีตภูเก็ตเคยเป็นเมืองท่าสำคัญทางตะวันตกของแหลมมลายู และมีการติดต่อค้าขายกับชาวจีนโพ้นทะเล โดยเฉพาะกลุ่มที่เดินทางมาจากสิงคโปร์ ปีนัง ซึ่งครั้งหนึ่งเคยตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตกอย่าง โปรตุเกสและฮอลันดา รวมทั้งภูเก็ตยังเป็นแหล่งแร่ดีบุกที่สำคัญของประเทศ ทำให้มีผู้คนจากดินแดนแถบนี้เดินทางเข้ามามากมาย ภูเก็ตจึงเติบโตเป็นชุมชนขนาดใหญ่ที่มีความเจริญรุ่งเรือง กลายเป็นจุดนัดพบระหว่างวัฒนธรรมใหญ่จากสองมุมโลก และอาคารเก่าแก่ที่เรียงรายในตัวเมืองภูเก็ตเป็นสิ่งยืนยันความเจริญรุ่งเรืองทางวัฒนธรรมได้เป็นอย่างดี ตึกเก่าเหล่านี้มีอายุกว่าร้อยปีแล้ว สร้างขึ้นเมื่อครั้งกิจการเหมืองแร่เฟื่องฟู มีลักษณะทาสถาปัตยกรรมที่มีเอกลักษณ์เรียกว่า “ชิโน-โปรตุกีส” (Sino-Portuguese) โดยเป็นอาคารชั้นเดียวหรือสองชั้น มีส่วนลึกมากกว่าส่วนกว้าง และไม่สูงนัก กระเบื้องหลังคา ตลอดจนประตู หน้าต่างไม้ฉลุลาย และรายละเอียดต่าง ๆ ล้วนสะท้อนถึงการผสมผสานทางศิลปะระหว่างยุโรปและจีน อาคารที่น่าชมเหล่านี้กระจุกตัวอยู่ในย่านใจกลางเมือง ซึ่งปัจจุบันทางเทศบาลนครภูเก็ตได้จัดให้มีเส้นทางเดินชมเมืองเก่าภูเก็ต เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ชื่นชมอาคารบ้านเรือนและวิถีชีวิตของชาวภูเก็ต โดยมีระยะทางประมาณ 4.6 กิโลเมตร มีช่วงเส้นทางการเดิน 6 ช่วงย่อย ๆ ถนนบางสายได้รับการปรับแต่งภูมิทัศน์ให้สวยงามจากการเก็บความรกรุงรังของสายไฟให้ดูเรียบร้อยสะอาดตาเพื่อพาคุณเข้าไปสัมผัสความคลาสสิกของภูเก็ตกันอย่างเต็มอิ่ม ที่ตั้ง : ถนนดีบุก ถนนถลาง ถนนกระบี่ และถนนเยาวราช อำเภอเมืองฯ จังหวัดภูเก็ต สอบถามข้อมูลได้ที่ : สำนักงานเทศบาลนครภูเก็ต โทรศัพท์ 0 7621 4325



ประวัติ ตึกชิโนโปรตุกีส

ชาวโปรตุเกสได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานและทำการค้าบริเวณเมืองท่ามะละกา และได้นำเอาศิลปวัฒนธรรมตลอดจนวิทยาการตะวันตกเข้ามาเผยแพร่ และได้สร้างบ้านและสถาปัตยกรรมตามรูปแบบของตน ส่วนช่างชาวจีนได้นำผังการก่อสร้างไปดำเนินการ แต่ลักษณะของสถาปัตยกรรมได้เพี้ยนไปจากเดิม โดยช่างชาวจีนได้ตกแต่งลวดลายสัญลักษณ์รวมถึงลักษณะรูปแบบบางส่วนของตัวอาคารตามคติความเชื่อของจีน เกิดการผสมผสานกันระหว่างสถาปัตยกรรมโปรตุเกสกับจีน เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวขึ้นท่ามกลางสังคมของกลุ่มชน 3 เชื้อชาติ อันได้แก่โปรตุเกส จีน และมลายู ในดินแดนแหลมมลายู

ต่อมาเมื่อชาวดัตช์และอังกฤษเข้ามามีอิทธิพลในดินแดนแถบนี้ ก็ได้ปรับปรุงรูปแบบของอาคารโดยดัดแปลงและเพิ่มเติมลวดลายต่าง ๆ และมีชื่อเรียกลักษณะการก่อสร้างอาคารเหล่านี้ว่า สถาปัตยกรรม “จีน-โปรตุเกส” คำว่า Sino หมายถึง จีน และคำว่า Portuguese หมายถึง โปรตุเกส แม้ว่าชาวอังกฤษและชาวดัตช์จะเข้ามามีอิทธิพลในการผสมผสานศิลปะของตนเข้าไปในยุคหลังด้วยก็ตามก็ยังเรียกรวมกันว่า จีน-โปรตุเกส




ในประเทศไทยพบสถาปัตยกรรมจีน-โปรตุเกสได้ในภูเก็ต รวมถึงระนอง กระบี่ ตะกั่วป่า พังงา ตรัง และสตูล ซึ่งอาคารส่วนใหญ่สร้างในสมัยของพระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี (คอซิมบี้ ณ ระนอง) เป็นสมุหเทศาภิบาลสำเร็จราชการมณฑลภูเก็ต ในช่วงปี พ.ศ. 2444–2456 ในสมัยรัชกาลที่ 5 ภูเก็ตในสมัยนั้นมีความสัมพันธ์ทางด้านการค้ากับปีนัง อาคารแบบจีน-โปรตุเกสได้ถูกสร้างขึ้นโดยนักธุรกิจชาวจีนที่มีความร่ำรวยจากการทำธุรกิจเหมืองแร่ดีบุก

เมื่อปี พ.ศ. 2537 เทศบาลนครภูเก็ต รวมทั้งหน่วยงานจากภาครัฐและองค์กรเอกชน องค์กรท้องถิ่นในเมืองภูเก็ต ได้ร่วมกันพัฒนาและอนุรักษ์ย่านเมืองเก่าขึ้นมา มีการกำหนดให้พื้นที่ประมาณ 210 ไร่ ซึ่งครอบคลุมถนนรัษฎา ถนนพังงา ถนนเยาวราช ถนนกระบี่ ถนนดีบุก ถนนถลาง และถนนเทพกระษัตรี ให้เป็นพื้นที่อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมศิลปกรรม โดยออกเป็นประกาศกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้มีการควบคุมให้พื้นที่อนุรักษ์นี้ ให้มีความสูงอาคารได้ไม่เกิน 12 เมตร และยังได้ส่งเสริมให้มีการพัฒนาอาคารในรูปแบบดั้งเดิมไว้ อย่างเช่นมีการให้เว้นช่องทางเดินด้านหน้า และคงรูปแบบอาคารลักษณะจีน-โปรตุเกสไว้ เพื่อให้เป็นเอกลักษณ์ของเมืองภูเก็ต

อย่างไรก็ดี นักวิชาการด้านมรดกสถาปัตยกรรมบางท่านเสนอว่าการเรียกสถาปัตยกรรมยุคอาณานิคมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ผสมผสานอิทธิพลจีนและตะวันตกว่า จีน-โปรตุเกส นั้นก่อให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับบริบททางประวัติศาสตร์ของสถาปัตยกรรมกลุ่มนี้ และเสนอให้เรียกว่า สถาปัตยกรรมสรรค์ผสานนิยม (eclectic architectural style) แทน



ลักษณะ

ลักษณะของสถาปัตยกรรมแบบจีน-โปรตุเกสคือการผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมยุโรปกับศิลปะจีน กล่าวคือ “สถาปัตยกรรมแบบอาณานิคม” (colonial style) ถ้าเป็นอาคารสองชั้นกึ่งร้านค้ากึ่งที่อยู่อาศัย (shop-house หรือ semi-residential) จะมีด้านหน้าอาคารที่ชั้นล่างมีช่องโค้ง (arch) ต่อเนื่องกันเป็นระยะ ๆ เพื่อให้เกิดการเดินเท้า ที่ภาษาไทยเรียกทับศัพท์ว่า “อาเขต” (arcade) หรือที่ภาษาจีนฮกเกี้ยนเรียกว่า หง่อคาขี่ ซึ่งมีความหมายว่า ทางเดินกว้างห้าฟุต ในภาษามลายูแปลว่าทางเดินเท้า กากี่แปลว่าเท้า นอกจากอาเขตแล้ว อาคารแบบอาณานิคมมีการนำลวดลายศิลปะตะวันตกแบบกรีก-โรมัน หรือเรียกว่า “ศิลปะคลาสสิก” เช่น หน้าต่างวงโค้งเกือกม้า หรือหัวเสาแบบไอโอนิก (แบบม้วนก้นหอย) และคอรินเทียน (มีใบไม้ขนาดใหญ่ประดับ) เป็นต้น ซึ่งนักวิชาการบางท่านอาจเรียกสถาปัตยกรรมแบบนี้ว่า “คลาสสิกใหม่”

สิ่งที่ผสมผสานศิลปะจีนคือ ลวดลายการตกแต่ง ไม่ว่าจะเป็นภาพประติมากรรมนูนต่ำหรือนูนสูงทำด้วยปูนปั้นระบายสีของช่างฝีมือจีนประดับอยู่บนโครงสร้างอาคารแบบโปรตุเกส บานประตูหน้าต่าง ตลอดจนการตกแต่งภายในที่มีลักษณะเป็นศิลปะแบบจีน

อ่านบทความเพิ่มเติม




พาเที่ยว พิพิธภัณฑ์ภูเก็ตไทยหัว

พิพิธภัณฑ์ภูเก็ตไทยหัว เป็นโรงเรียนจีนฮกเกี้ยนซึ่งปัจจุบันได้ปรับปรุงเป็นพิพิธภัณฑ์เชิงวัฒนธรรมของชาวภูเก็ต สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2447 ตั้งอยู่ที่ถนนกระบี่ ตำบลตลาดเหนือ อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต พื้นที่ของพิพิธภัณฑ์ภูเก็ตไทยหัวเดิมประกอบด้วยศาลเจ้าและโรงเรียนสอนภาษาจีนชั้นสูงชื่อ “ฮั่วบุ่น” ซึ่งจัดตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2454 ต่อมาในปี พ.ศ. 2489 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนภูเกตจุงหัว และในปี พ.ศ. 2491 ได้เปลี่ยนมาเป็น โรงเรียน ภูเก็ตไทยหัว จนกระทั่งปี พ.ศ. 2538 โรงเรียนภูเก็ตไทยหัวได้ย้ายไปอยู่ที่ตั้งใหม่ ต่อมาในปี พ.ศ. 2545 อาคารเรียนหลังนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน หลังจากนั้น มูลนิธิกุศลสงเคราะห์ จังหวัดภูเก็ต และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้ปรึกษาหารือและตกลง ที่จะปรับปรุงอาคารและพื้นที่โดยรอบเพื่อจัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์ภูเก็ตไทยหัว และมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2551





พิพิธภัณฑ์ภูเก็ตไทยหัว

พิพิธภัณฑ์ภูเก็ตไทยหัว ได้รับการออกแบบอาคารให้มีรูปแบบสถาปัตยกรรมจีน-โปรตุเกส หรือ ซีโน-โปรตุกีส ซึ่งเป็นรูปแบบทั่วไปในย่านเมืองเก่าภูเก็ต มีผังอาคารเป็นแบบสี่เหลี่ยมผืนผ้าแบบสมมาตรล้อมลาน กลางอาคารที่ตรงกับช่องเปิดโล่งในหลังคา หลังคาเป็นหลังคาปั้นหยาผสมหลังคาจั่ว มุงกระเบื้องกาบกล้วยดินเผา

ภายในพิพิธภัณฑ์ภูเก็ตไทยหัวมีการจัดแสดงภาพถ่ายเก่าๆ ของโรงเรียน ส่วนภายในอาคารจัดแสดงสิ่งของ หนังสือ ภาพถ่ายและเรื่องราวต่างๆ ของโรงเรียนภูเก็ตไทยหัว มีห้องนิทรรศการภาพ แสดงความเป็นมาของชาวจีนที่ย้ายถิ่นฐานมาอยู่ที่ ภูเก็ต บุคคลสำคัญของภูเก็ต ชุดแต่งกายประจำถิ่น อาหารพื้นเมือง เทศกาลงานประเพณี อาคารแบบชิโนโปรตุกีส และภาพถ่ายเก่าแก่ที่แสดงความเป็นมา ด้านเศรษฐกิจของภูเก็ตตั้งแต่ยุคเหมือง แร่ การทำสวนยางพารา และการท่องเที่ยว



ข้อมูลทั่วไป

ตั้งอยู่ที่ถนนกระบี่ย่านเมืองเก่าภูเก็ต สถานที่แห่งนี้เดิมเป็นโรงเรียนสอนภาษาจีนแห่งแรกในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งชาวจีนฮกเกี้ยน บรรพบุรุษชาวจีนรุ่นแรกที่อพยพมาอยู่ที่ภูเก็ตได้ร่วมกันตั้งขึ้น เป็นอาคาร 2 ชั้น มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมแบบชิโน-โปรตุกีส สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2477 เป็นแหล่งเรียนรู้ที่ให้เยาวชน ประชาชน รวมทั้งนักท่องเที่ยวได้ศึกษาความเป็นมาของจังหวัดภูเก็ตได้ครบถ้วน

จากโรงเรียนสอนภาษาจีนแห่งแรกในจังหวัดภูเก็ต สู่การเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ลูกหลานชาวจีนฮกเกี้ยน ซึ่งครั้งหนึ่งก็เคยร่ำเรียนวิชาจากโรงเรียนแห่งนี้ ได้ร่วมแรงร่วมใจกันสร้างสรรค์ขึ้นมา เพื่อระลึกถึงประวัติและที่มาของชาวจีน ที่อพยพและย้ายถิ่นเข้ามาอยู่จังหวัดภูเก็ต ให้ลูกหลานคนจีน คนไทย รู้จักที่มาของบรรพชนอย่างถูกต้อง เพื่อจะได้ตระหนักถึงตัวตนที่แท้จริง และเพื่อให้นักท่องเที่ยวและชาวต่างประเทศ ได้มีโอกาสศึกษาและเข้าใจความเป็นอยู่ พฤติกรรม และอุปนิสัยของชาวภูเก็ต รวมทั้งเพื่อเป็นศูนย์รวมของการศึกษา ค้นคว้าข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ของจังหวัดภูเก็ต อาคารพิพิธภัณฑ์ภูเก็ตไทยหัวผ่านการบูรณะให้มีสภาพสมบูรณ์สวยงามละเมียดละไม เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ชุมชน สำหรับด้านบนนั้น ยังใช้เป็นห้องเรียนภาษาจีน ส่วนด้านล่างเป็นห้องต่าง ๆ ที่มีนิทรรศการจัดแสดงซึ่งแบ่งออกเป็น 13 ส่วนด้วยกัน จัดแสดงตั้งแต่เรื่องราวประวัติศาสตร์ ความเป็นมาของชาวจีนฮกเกี้ยนที่เดินทางมายังภูเก็ต ความเชื่อ วิถีชีวิตประเพณี ศิลปวัฒนธรรม ความสัมพันธ์ระหว่างชาวจีนกับชาวภูเก็ต ตลอดจนประวัติของโรงเรียนภาษาจีนไทยหัว ซึ่งเปิดการเรียนการสอนมากว่า 60 ปี โดยนิทรรศการต่าง ๆ เหล่านี้สร้างความน่าสนใจด้วยการใช้สื่อมัลติมีเดียอันทันสมัย สนุกสนาน เข้าใจง่าย เหมาะแก่ผู้เข้าชมทุกเพศทุกวัย นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นพื้นที่จัดกิจกรรมทางศิลปวัฒนธรรมที่น่าสนใจมากมาย เช่น งานไหว้พระจันทร์ งานวิวาห์บาบ๋า เป็นต้น




ข้อมูลสถานที่

เรื่องราวชาวจีน ประเพณีวิถีชีวิต อาชีพและภูมิปัญญา ประวัติของปูชนียบุคคล และโรงเรียนจีนที่เก่าแก่ที่สุดของเมืองภูเก็ต.




ประวัติ พิพิธภัณฑ์ภูเก็ตไทยหัว

สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2478 ภายในอาคารจัดแสดงภาพถ่ายและวีดีทัศน์ที่สื่อความเป็นมาของชาวจีนในภูเก็ต การทำเหมืองแร่ การแต่งกาย สถาปัตยกรรมแบบชิโนโปรตุกีส อาหารพื้นเมืองและวัฒนธรรมประเพณีของชาวภูเก็ต โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เป็นประโยชน์ในการเรียนรู้ถึงอารยธรรมของชาวภูเก็ต

อ่านบทความเพิ่มเติม




พาเที่ยว วัดพระธาตุดอยพระฌาน ลำปาง

วัดพระธาตุดอยพระฌาน เป็นวัดที่ตั้งอยู่บนยอดเขาอันเงียบสงบภูเขาที่เรียกว่าดอยพระฌาน สามารถมองเห็นทิวทัศน์และทัศนียภาพที่สวยงามของอำเภอแม่ทะ เห็นทิวเขาต้นไม้เขียวขจีได้รอบทิศ ในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาวในช่วงเวลาเช้าสามารถชมทะเลหมอกอันงดงามได้อีกด้วย ตั้งอยู่ที่ ตำบลป่าตัน อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง




ข้อมูลทั่วไป

ตั้งอยู่ ตำบลป่าตัน อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง เป็นวัดที่ตั้งอยู่บนยอดเขาอันเงียบสงบภูเขาที่เรียกว่าดอยพระฌาน สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์และทัศนียภาพที่สวยงามของอำเภอแม่ทะ เห็นทิวเขาต้นไม้ที่เขียวขจีได้รอบทิศ ในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาวในช่วงเวลาเช้าสามารถเห็นทะเลหมอกอันงดงามได้อีกด้วย



ประวัติ วัดพระธาตุดอยพระฌาน

พระธาตุดอยพระฌาน เป็นศาสนสถานที่สำคัญของอำเภอแม่ทะ จากประวัติจากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ ท่านกล่าวว่า ตั้งแต่เกิดมาก็เห็นองค์พระธาตุนี้แล้ว แสดงว่าพระธาตุนี้มาก่อนที่จะได้รับการบูรณะเป็นองค์พระธาตุสีขาวในปัจจุบัน ในอดีตที่ผ่านมา หลวงพ่อปัญญา วัดนาคตหลวง เป็นผู้นำพระ เณร และพุทธศาสนิกชนในตำบล มาช่วยกันบูรณะซ่อมแซมองค์พระธาตุและบริเวณโดยรอบ พื้นที่บนยอดเขามีขนาดเล็กและแคบ สิ่งก่อสร้างที่เคยมีอยู่ คือ ศาลาไม้ แต่ปัจจุบันถูกรื้อไปแล้วเพราะชำรุดไปตามกาลเวลา ส่วนที่คงเหลืออยู่ ปัจจุบันท่านได้มรณภาพไปแล้ว พระพรชัย อัคควังโส เจ้าอาวาสวัด เล่าว่าเมื่อ 7 ปีก่อนท่านได้นิมิตว่ามีคนบอกให้ท่านจำพรรษาที่มีพระธาตุสีขาวที่จังหวัดลำปางหลังจากนั้นท่านก็ได้เดินทางมาจากนครราชสีมามาที่จังหวัดลำปาง จนมาพบพระธาตุแห่งนี้และในปี พ.ศ.2555 ท่านก็ได้เริ่มบูรณะพื้นที่และสิ่งปลูกสร้างใหม่ เนื่องจากสิ่งปลูกสร้างเดิมที่ถูกปล่อยให้รกร้างมานานหลายปีจนกลายเป็นวัดที่งดงามดั่งเช่นในปัจจุบัน



ประเพณีขึ้นดอยพระฌาน

เมื่อถึงวันขึ้น 8 ค่ำ เดือน 7 (เดือน 9 ของทางเหนือ) ประมาณเดือนพฤษภาคม ของทุกปี พุทธศาสนิกชนชาวตำบลป่าตันและตำบลใกล้เคียงจะพากันเดินขึ้นดอยไปสักการะพระธาตุบนดอยพระฌาน โดยมีผู้นำของชุมชนที่สำคัญคือ อดีตหลวงพ่อปัญญา วัดนาคตหลวง พระสงฆ์ผู้เป็นศูนย์รวมศรัทธาของพระ เณร และสาธุชนทั้งหลาย ซึ่งมรณภาพไปแล้ว ท่านเป็นผู้นำคณะศรัทธาชาวตำบลป่าตัน มาสักการะพระธาตุเป็นประเพณีประจำทุกปี มีการจุดบั้งไฟบูชาพระธาตุและการแข่งขันบั้งไฟด้วย และได้รับการสืบทอดต่อมาจนถึงปัจจุบันนี้



ข้อมูลเพิ่มเติม

ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองลำปางประมาณ 23 กิโลเมตร ถนนในช่วงสุดท้ายเป็นทางขึ้นเขา ค่อนข้างแคบแต่ไม่ถึงกับชันมาก รถทุกชนิดขึ้นได้ทั้งหมด ขับขึ้นเขาไม่เก่งก็ขับได้ ถนนราดยางอย่างดี ในวันธรรมดาสามารถขับรถขึ้นไปจอดถึงตัววัด แต่หากมาในช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ช่วงที่มีนักท่องเที่ยวค่อนข้างเยอะ ลานจอดรถข้างบนมีจำนวนจำกัด ทางขึ้นเขาสวนกันลำบาก นักท่องเที่ยวต้องจอดรถไว้บริเวณลานจอดรถข้างล่าง แล้วใช้บริการรถท้องถิ่นของชาวบ้านขึ้นไป สำหรับช่วงเวลาแนะนำ หากอยากมาชมพระอาทิตย์ขึ้นและสายหมอกยามเช้า ให้มาถึงประมาณ 6.30 น. จากลานจอดรถเราแวะไปบริเวณตัววัดก่อน เพื่อชมพระอาทิตย์ขึ้นแล้วสายหมอก ทางเข้าด้านหน้ามีรูปปั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ และพระพุทธรูปสีทอง 5 องค์ ส่วนองค์พระธาตุเป็นสีขาวตรงบนยอดฉัตรเป็นสีทอง ถัดไปคือ ตัววัดก่อสร้างด้วยศิลปะแบบล้านนาร่วมสมัยที่งดงามและอ่อนช้อย

อ่านบทความเพิ่มเติม



พิพิธภัณฑ์อูบคำ ศูนย์อนุรักษ์มรดกล้ำค่าของอานาจักรล้านนาโบราณ

วัดเชิงท่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยา


พาเที่ยว พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์อยุธยา

พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์อยุธยา จัดตั้งขึ้นตามโครงการที่นักวิชาการไทยและนักวิชาการญี่ปุ่นปรับขยายมาจากข้อเสนอเดิมของสมาคมไทย-ญี่ปุ่นและจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเคยเสนอปรับปรุงบริเวณที่เคยเป็นหมู่บ้านญี่ปุ่นให้จัดสร้างเป็นพิพิธภัณฑ์หมู่บ้านญี่ปุ่น





พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์อยุธยา

อยุธยาเต็มไปด้วยความหลากหลายทางชาติพันธุ์และศาสนา ทั้งไทย จีน แขก ฝรั่ง และญี่ปุ่นด้วย มีหลักฐานสำคัญที่บ่งบอกว่ามีชาวญี่ปุ่นเคยตั้งรกรากที่อยุธยา กระทั่งเกิดเป็นหมู่บ้านญี่ปุ่น ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งของศูนย์ศึกษาประวัติศาสตร์อยุธยาอันเกิดจากความร่วมมือระหว่างนักวิชาการไทย-ญี่ปุ่น เพื่อศึกษาอดีตเมืองหลวงสยามที่รุ่งเรืองมายาวนานถึง 417 ปี ซึ่งพ่วงไปด้วยความเป็นมาของภูมิภาคอุษาคเนย์อย่างแยกกันไม่ออก เท่ากับได้รู้จักอดีตของไทยและของอาเซียนไปพร้อม ๆ กัน ผ่านการทำความเข้าใจสังคมในอดีตของกรุงศรีอยุธยารัฐบาลญี่ปุ่นมอบทุนก่อตั้งแบบให้เปล่า 999 ล้านเยน (ประมาณ 170 ล้านบาทในเวลานั้น) เพื่อเทิดพระเกียรติdพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในวโรกาสที่ทรงเจริญพระชนมายุครบ 60 พรรษาใน พ.ศ. 2530 และในโอกาสที่ประเทศไทยและญี่ปุ่นมีไมตรีอันแน่นแฟ้นต่อกันมาครบ 600 ปี พื้นที่ภายในศูนย์แบ่งเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนแรกที่ตั้งอยู่ในเกาะเมือง ติดกับสถาบันราชภัฏอยุธยาและส่วนที่ 2 อยู่ในหมู่บ้านญี่ปุ่นเดิมสมัยอยุธยา ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันออก ใต้วัดพนัญเชิงภายในศูนย์เปิดให้ผู้ที่สนใจได้เข้าชมนิทรรศการถาวรที่จัดแสดงแผนที่และแบบจำลอง เพื่อทำความรู้จักกรุงศรีอยุธยาที่เป็นราชธานี เมืองท่า ศูนย์กลางอำนาจทางการเมืองและการปกครองแหล่งพักพิงของชาวบ้านและศูนย์กลางการค้ากับต่างประเทศ มีแบบจำลองที่น่าสนใจ เช่น ภาพเขียนสีน้ำมันแผนผังเมืองอยุธยาในสายตาของพ่อค้าชาวดัตช์ช่วง คริสต์ศตวรรษที่ 17 หรือปลายพุทธศตวรรษที่ 22 แบบจำลองของพระราชวังโบราณ วัดไชยวัฒนาราม และเพนียดคล้องช้าง เรือจำลอง เช่น เรือสำเภาจีน เรือคาร์แรทของสเปนและโปรตุเกส รวมทั้งเรือแกลลิออนของฮอลันดา แบบจำลองภายในวิหารพระศรีสรรเพชญ์ และแบบจำลองของหมู่บ้านและในบ้านของราษฎร นับเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของอยุธยาและของสยามได้ครบถ้วนและเห็นภาพชัดเจนที่สุดแห่งหนึ่ง เปิดทำการทุกวัน เวลา 09.00-17.00 น. ค่าเข้าชมนักเรียนและนักศึกษาในเครื่องแบบไม่เสียค่าเข้าชม ประชาชนทั่วไป 20 บาท ชาวต่างชาติ ผู้ใหญ่ 100 บาท เด็ก 50 บาท สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 0 3524 5123 4




ข้อมูลสถานที่

ศูนย์ศึกษาประวัติศาสตร์อยุธยา เป็นอาคาร 2 ชั้น มีห้องจัดแสดงพิพิธภัณฑ์อยู่ชั้นบน จัดแสดงพัฒนาการของกรุงศรีอยุธยานับแต่อดีตกระทั่งปัจจุบัน โดยสรุปให้เห็นสถานะสำคัญของอยุธยาด้านต่าง ๆ นำเสนอด้วยรูปแบบที่ทันสมัย ให้ทั้งความรู้และความเพลิดเพลิน นับเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของอยุธยาและของสยามได้ครบถ้วนและเห็นภาพชัดเจนที่สุดแห่งหนึ่ง



ภายในพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์อยุธยา

ลักษณะเด่น

-ศึกษาประวัติศาสตร์ของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

-ข้อมูลสถานที่ต่างๆทั่วจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

ประวัติ พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์อยุธยา

ศูนย์ศึกษาประวัติศาสตร์อยุธยา ได้ก่อตั้งขึึ้นเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2530 ช่วยเฟลือแบบให้เปล่าจากรัฐบาลญี่ปุ่น เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติเนื่องในพระราชวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 60 พรรษา และเพื่อเป็นที่ระลึกในโอกาสที่มิตรภาพระหว่างประเทศญี่ปุ่นกับราชอาณาจักรไทยยืนยาวมาครบ 100 ปี

การซื้อบัตรเข้าชม

บัตรเข้าชมแบบรวม สำหรับชาวไทย 40 บาท ชาวต่างชาติ 220 บาท โดยบัตรนี้สามารถเข้าชมวัดและโบราณสถานบริเวณอุทยานประวัติศาสตร์ได้ ภายในระยะเวลา 30 วัน



ข้อมูลทั่วไปที่ควรรู้

นักท่องเที่ยวควรแต่งกายให้สุภาพ สวมเสื้อมีแขน สวมกระโปรงหรือกางเกงขายาว และไม่สวมเสื้อผ้าที่รัดรูป จนเกินไป นอกจากนี้ ไม่ควรกระทำสิ่งใดที่เป็นการสร้างอันตรายและความเสียหายต่อตัวโบราณสถาน รวมถึงการปีนป่ายและเข้าไปยังพื้นที่ห้ามเข้าอีกด้วย

อ่านบทความเพิ่มเติม

พิพิธภัณฑ์เมืองนครราชสีมา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา

พิพิธภัณฑ์อูบคำ ศูนย์อนุรักษ์มรดกล้ำค่าของอานาจักรล้านนาโบราณ

วัดเชิงท่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

พาเที่ยว วัดไลย์ จังหวัดลพบุรี

พิพิธภัณฑ์เมืองนครราชสีมา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา

 พิพิธภัณฑ์เมืองนครราชสีมา (อังกฤษ: Korat Museum) เป็นพิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่ ณ อาคาร 10 สำนักศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา เปิดให้บริการอย่างไม่เป็นทางการเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2557





ประวัติ พิพิธภัณฑ์เมืองนครราชสีมา

พิพิธภัณฑ์เมืองนครราชสีมา ได้มีการพัฒนามาจาก “หอวัฒนธรรมนครราชสีมา” เมื่อ พ.ศ. 2523 เมื่อครั้งสำนักศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ยังเป็นศูนย์ศิลปวัฒนธรรมของวิทยาลัยครูนครราชสีมา โดยมีว่าที่ ร.ต. ถาวร สุบงกช เป็นหัวหน้าศูนย์ในขณะนั้น โดยใช้ห้อง 514-515 เป็นสถานที่เก็บรวบรวมโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุและสิ่งอื่นๆ ที่ได้รับจากการบริจาคและขอซื้อเพิ่มเติมจนถึงปี พ.ศ. 2529 ได้ย้ายหอวัฒนธรรมไปอยู่ที่ อาคาร 2 ซึ่งเป็นอาคารไม้ดั้งเดิมของสถาบัน

จากนั้น พ.ศ. 2538 ได้มีการเคลื่อนย้าย อาคาร 1 และอาคาร 2 (โดยวิธีการดีดและเคลื่อนย้ายโดยรางรถไฟ) ไปยุบรวมอาคารทั้งสองและให้หมายเลขอาคารว่าอาคาร 1 ซึ่งหอวัฒนธรรม ก็ได้ย้ายไปตั้ง ณ อาคาร 1 ด้วย เช่นกัน

พ.ศ. 2555 ได้มีการรื้อถอนอาคาร 1 เพื่อดำเนินการก่อสร้างศูนย์รวมกิจการนักศึกษาและหอประชุมนานาชาติ ดังนั้นในวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 หอวัฒนธรรมจึงได้ถูกรื้อถอนอีกครั้งหนึ่ง

พ.ศ. 2556 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. เศาวนิต เศาณานนท์ อธิการบดีในขณะนั้น ได้อนุมัติงบประมาณจำนวน 4.5 ล้านบาท เพื่อให้อาจารย์วิลาวัลย์ วัชระเกียรติศักดิ์ ผู้อำนวยการสำนักฯ ดำเนินการออกแบบและจัดสร้างนิทรรศการ ณ อาคาร 10 ซึ่งเป็นอาคารเดิมของคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่ใช้งานมาตั้งแต่ พ.ศ. 2515 รวมเวลากว่า 40 ปี โดยได้ปรับปรุงบทและเนื้อหาการจัดแสดงโดยใช้รูปแบบเดิมที่เคยจัดแสดง ณ อาคาร 1 มาเป็นฐาน โดยต่อยอดการพัฒนาโดยเน้นความเชื่อมโยงของเรื่องราวร่วมกับโบราณวัตถุที่จัดแสดง และพัฒนาเนื้อหาในส่วนของความเจริญของจังหวัดนครราชสีมาในด้านต่างๆ เพิ่มเติม เพื่อให้เห็นพัฒนาการของจังหวัดนครราชสีมาที่มีเป็นมาอย่างยาวนาน โดยใช้ชื่อ “พิพิธภัณฑ์เมืองนครราชสีมา” ภายใต้แนวคิด “บรรยากาศย้อนอดีต เพลินพินิจนครราชสีมา” ซึ่งก่อสร้างแล้วเสร็จในเดือนเมษายน พ.ศ. 2557 ในสมัยการบริหารของผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ณัฐกิตติ์ อินทร์สวรรค์ ผู้อำนวยการสำนักฯ คนปัจจุบัน

พ.ศ. 2558 พิพิธภัณฑ์เมืองนครราชสีมา ได้รับการคัดเลือกจากกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ 1 ใน 60 แหล่ง เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสฉลองพระชนมายุ 5 รอบ 2 เมษายน 2558

พ.ศ. 2559 สำนักศิลปะและวัฒนธรรม ร่วมกับสมาคมศิษย์เก่าวิทยาลัยครูนครราชสีมา ดำเนินการจัดสร้างเรือนโคราช ส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาซุมโคราช ได้รับสนับสนุนงบประมาณสมาคมศิษย์เก่าวิทยาลัยครูนครราชสีมา โดยมี ดร.นิเชต สุนทรพิทักษ์เป็นประธาน และมีผศ.นฤมล ปิยวิทย์ เป็นผู้ัดำเนินการหลัก

พ.ศ. 2561 เรือนโคราช มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ได้รับรางวัลอนุรักษ์ศิลปสถาปัตยกรรมดีเด่น ประจำปี 2561 ประเภทอาคารสถาบันและอาคารสาธารณะ จากสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมป์



ภายในพิพิธภัณฑ์เมืองนครราชสีมา

พื้นที่จัดแสดง แบ่งหัวข้อการจัดแสดงออกเป็น 7 ห้อง ดังนี้

ต้นกำเนิดอารยธรรม

สมัยทวารวดี

สมัยลพบุรี

สมัยอยุธยา

สมัยรัตนโกสินทร์

มหานครแห่งอีสาน

ของดีโคราช (นิทรรศการหมุนเวียน)

ห้องต้นกำเนิดอารยธรรม

ห้องต้นกำเนิดอารยธรรม

เป็นส่วนนำเสนอเนื้อหาในการค้นพบมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่มีการศึกษาค้นคว้าอย่างต่อเนื่องในแถบลุ่มแม่น้ำมูลตอนต้น โดยเฉพาะในเขตจังหวัดนครราชสีมาซึ่งมีประวัติศาสตร์อายุสมัยไม่ต่ำกว่า 4,500 ปี หลายแหล่ง สามารถฉายภาพอดีตให้เห็นว่าบรรพบุรุษในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ มีการดำรงชีวิตอย่างไรบ้าง รวมถึงให้ข้อมูลเบื้องต้นเพื่อตอบคำถามว่า “ทำไมโบราณคดีจึงศึกษาวิจัย ณ ลุ่มแม่น้ำมูลตอนต้น เป็นจำนวนมาก”

ห้องสมัยทวารวดี

นำเสนอเนื้อหาถึงชุมชนโบราณสมัยประวัติศาสตร์แรกเริ่มได้เข้ามาตั้งหลักแหล่งอยู่ ณ เมืองเสมา ราวพุทธศตวรรษที่ 12 โดยได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมอินเดีย คือนำศาสนาพุทธและพราหมณ์เข้ามาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน แต่คงขนบธรรมเนียมบางอย่างไว้ เช่น การฝังศพนอนหงาย เหยียดยาว รวมทั้งอุทิศสิ่งของต่างๆ ให้กับศพซึ่งเป็นความเชื่อดั้งเดิมตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ แทนที่จะปลงศพด้วยการเผาตามแบบศาสนาพุทธ

ห้องสมัยลพบุรี

นำเสนอเนื้อหาถึงวัฒนธรรมขอมที่ได้แผ่อิทธิพลมายังภาคอีสาน ส่งผลต่อความความเปลี่ยนแปลงอย่างมากในช่วงสมัยลพบุรี ประมาณพุทธศตวรรษที่ 16-19 โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านศิลปกรรมและวัฒนธรรมทางความเชื่อ ซึ่งสะท้อนอยู่ในโบราณสถานที่ได้รับแบบอย่างจากวัฒนธรรมขอมที่สำคัญ ได้แก่ แบบแผนการสร้างเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยม การสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ที่เรียกว่าบาราย ศาสนสถานขนาดใหญ่ในรูปแบบปราสาทหิน เครื่องปั้นดินเผาแบบขอม เป็นต้น



ภายในพิพิธภัณฑ์เมืองนครราชสีมา

ห้องสมัยอยุธยา

นำเสนอเนื้อหาในส่วนของการก่อตั้ง “เมืองนครราชสีมา” ซึ่งเริ่มต้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี มีฐานะเป็นเมืองชั้นโท มีบทบาทสำคัญในการเป็นฉนวนป้องกันการรุกรานของขแมร์ (เขมร) ลาว ญวน และเป็นหัวเมืองใหญ่ควบคุมเขมรป่าดงที่ขึ้นต่อกรุงศรีอยุธยา ทำให้ได้มีการสร้างป้อมปราการให้มั่นคงแบบฝรั่ง และส่งเจ้านายผู้ใกล้ชิดมาปกครองเมือง โดยได้นำรูปแบบการออกแบบผังเมืองและสถาปัตยกรรมที่มีลักษณะตามแบบกรุงศรีอยุธยา ซึ่งยังคงหลงเหลือปรากฏให้เห็นจนถึงปัจจุบัน

ห้องสมัยรัตนโกสินทร์

นำเสนอเนื้อหาของเมืองนครราชสีมาในสมัยรัตนโกสินทร์ ซึ่งต้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โปรดเกล้าฯ ให้เมืองนครราชสีมามีฐานะเป็นเมืองเอก ส่วนการดำรงชีวิตของชาวโคราชในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้นถือว่าไม่ต่างจากในสมัยอยุธยามากนัก เนื่องจากการเดินทางไปเมืองหลวงยังไม่สะดวกเท่าที่ควร ในด้านทำเลที่ตั้งนครราชสีมายังเป็นเมืองที่คอยสกัดกั้นการรุกรานจากข้าศึกในด้านภาคอีสานจนเกิดวีรกรรมทุ่งสัมฤทธิ์ของคุณหญิงโมซึ่งได้รับการสถาปนาเป็นท้าวสุรนารีในภายหลัง

ห้องมหานครแห่งอีสาน

นำเสนอเนื้อหาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นระยะที่มหาอำนาจตะวันตกกำลังดำเนินนโยบายแผ่ขยายอำนาจทางการเมืองเข้ามาทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จึงทำให้มีการปฏิรูปการปกครองจัดหัวเมืองเป็นมณฑลเทศาภิบาล และยังใช้เมืองนครราชสีมาเป็นแหล่งยุทธศาสตร์ทางทหาร ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นตัวอย่างของการยอมรับอำนาจของรัฐบาลกลางได้อย่างผสมกลมกลืนกันในทางสังคมและทางวัฒนธรรมของชาวกรุงเทพฯและชาวอีสานอีกด้วย

และในส่วนนี้ยังนำเสนอเนื้อหาในการจัดสร้างสนามกีฬาเพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 333 ปีเมืองนครราชสีมา ในปี 2547 และได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาซีเกมส์และอาเซียนพาราเกมส์ ในปี 2550-2551นับเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้เมืองนครราชสีมาพัฒนาไปสู่การเป็นมหานครแห่งการกีฬา



ห้องของดีเมืองโคราช

ได้นำเสนอเนื้อหาในส่วนของดีโคราชที่มีอย่างมากมาย โดยเฉพาะในคำขวัญเก่าของจังหวัด คือ “โคราชลือเลื่อง เมืองก่อนเก่า นกเขาคารม อ้อยคันร่ม ส้มขี้ม้า ผ้าหางกระรอก” และได้คัดเลือกบางส่วนมาจัดแสดงเพื่อนำเสนอให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ได้รู้จักว่าโคราชมีของดีอีกมากมายที่ได้รับการกล่าวขวัญในอดีต ทั้งมวยโคราช ผ้าหางกระรอก รถสามล้อถีบ รำโทนโคราช และเพลงโคราช และนอกจากนี้ยังได้รองรับการจัดนิทรรศการหมุนเวียนอีกด้วย

อ่านบทความเพิ่มเติม




พิพิธภัณฑ์อูบคำ ศูนย์อนุรักษ์มรดกล้ำค่าของอานาจักรล้านนาโบราณ

 พิพิธภัณฑ์อูบคำ เป็นศูนย์อนุรักษ์มรดกล้ำค่าของอาณาจักรล้านนาโบราณ ประกอบด้วยเครื่องใช้ในราชสำนักล้านนา เครื่องใช้ในราชสำนักคุ้มเจ้าแพร่ เครื่องใช้ในราชสำนักคุ้มเจ้าเชียงใหม่ ผ้าโบราณ และที่สำคัญไม่ควรพลาดชมคือ บัลลังก์กษัตริย์เป็นทองอร่าม แสดงถึงความยิ่งใหญ่ในอดีต






พิพิธภัณฑ์อูบคำ

เมื่อความทรงจำในอดีตมีค่ายิ่งกว่าสิ่งใด ที่แห่งนี้จึงเป็นเหมือนลิ้นชักใบใหญ่ที่เก็บกักความทรงจำอันล้ำค่านั้นไว้ ผ่านการเก็บรวบรวมโบราณวัตถุและศิลปวัตถุต่าง ๆ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรล้านนาในอดีต พิพิธภัณฑ์อูบคำนั้น ก่อตั้งขึ้นโดยอาจารย์จุลศักดิ์ สุริยะไชย ซึ่งคำว่า อูบคำ เป็นชื่อที่มาจาก “อูบทองคำ” ที่ท่านได้รับเป็นมรดกตกทอดจากบิดา ผู้สืบเชื้อสายมาจากเจ้านครลำปางในช่วง พ.ศ. 2275-2301 อาจารย์ได้สังเกตว่ามีชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาอำเภอแม่สายและกว้านซื้อข้าวของโบราณต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก ทั้งเครื่องเขิน ผ้าเก่า เป็นต้น ซึ่งอาจทำให้คนรุ่นหลังไม่ได้ชื่นชม ท่านจึงได้สร้างพิพิธภัณฑ์ขึ้น และรวบรวมข้าวของเครื่องใช้ของสมาชิกในราชวงศ์ เครื่องเขิน เครื่องเงินต่าง ๆ รวมทั้งในราชสำนักคุ้มเจ้าต่าง ๆ เช่น คุ้มเจ้าแพร่ คุ้มเจ้าน่าน เป็นต้น โดยตัวอย่างโบราณวัตถุที่น่าสนใจได้แก่ พระราชบัลลังก์ของกษัตริย์ไตเหนือ ผ้าทอในราชสำนัก ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นศิลปะที่ประณีตละเอียดอ่อนและสะท้อนจิตวิญญาณ ของภาคเหนือได้อย่างละเมียดละไม ปัจจุบันที่นี่เปิดให้ประชาชนทั่วไป นักเรียนนักศึกษา ได้เข้ามาค้นคว้าหาความรู้เพื่อสร้างจิตสำนึกและความภาคภูมิใจในแผ่นดินเกิดของตน เปิดบริการทุกวัน 08.00 น.-18.00 น. ค่าเข้าชมคนไทยผู้ใหญ่ 200 บาทเด็ก 100 บาท ส่วนชาวต่างชาติผู้ใหญ่ 300 บาท เด็ก 200 บาท ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม โทร. 0 53713349 และ 08 1992 0342 เว็บไซต์ www.oubkhammuseum.com



ข้อมูลสถานที่

ศูนย์อนุรักษ์มรดกอันล้ำค่าของอาณาจักรล้านนาโบราณ และความหลากหลายของเสื้อผ้า และอาภรณ์ของชนชาติไตเผ่าต่าง ในอาณาจักรล้านนา ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะอนุรักษ์ความเป็นมาอันยิ่งใหญ่ของชาวล้านนา ทำให้ อาจารย์จุลศักดิ์ สุริยะไชย จึงได้จัดตั้งพิพิธภัณฑ์อูบคำเพื่อเป็นศูนย์อนุรักษ์มรดกล้ำค่าของอานาจักรล้านนาโบราณ เช่นเครื่องใช้ในราชสำนักล้านนา เครื่องใช้ในราชสำนักคุ้มเจ้าต่างๆ ในล้านนา เช่น คุ้มเจ้าแพร่ คุ้มเจ้าเชียงใหม่ คุ้มเจ้าน่าน ฯลฯ ผ้าโบราณ อายุ 200 ปี ซึ่งเกิดจากการตั้งใจของผู้รวบรวมที่ต้องการเก็บของมีค่าสมัยล้านนาที่กระจายอยู่ในที่ต่างๆ ให้คืนกลับสู่แผ่นดินไทย และเพื่อให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษาต่อไปในอนาค

พิพิธภัณฑ์อูบคำ

ลักษณะเด่น

-ศูนย์อนุรักษ์มรดกอันล้ำค่าของอาณาจักรล้านนาโบราณ

-อูบคำ ทำจากไม้ไผ่นำมาสานขัดกันจากนั้นจึงลงรักปิดทอง อูบมีหลายขนาด เป็น ภาชนะสำหรับใส่อาหารสำหรับพระมหากษัตริย์และพระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ โบราณวัตถุที่สำคัญภายในพิพิธภัณฑ์อูบคำ สิ่งเหล่านี้ล่วนมีคุณค่าและความสวยงาม อ่อนช้อย ปราณีตในการทำขึ้นมา หาดูได้เพียงแห่งเดียวในโลกเท่านั้น

– พระราชบัลลังก์ของกษัตริย์ไตเหนือ สมบูรณ์ อ่อนช้อย งดงาม ยิ่งใหญ่ ระดับแนวหน้าของเอเชีย

– พระพุทธรูปล้านนาศิลปเชียงแสน เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของล้านนา ซึ่งสร้างขึ้นด้วยศรัทธาปสาธะเลื่อมใสในพระบวรพุทธศาสนา

– ผ้าทอในราชสำนัก ที่ประดิษฐ์ ถักทอด้วยแรงกาย ด้วยความละเอียดอ่อนทางด้านกรรมวิธีการทอ มาเป็นผ้าทอลวดลายสวยงาม




ประวัติ พิพิธภัณฑ์อูบคำ

เป็นศูนย์อนุรักษ์มรดกล้ำค่าของอานาจักรล้านนาโบราณ เช่น เครื่องใช้ในราชสำนักล้านนา เครื่องใช้ในราชสำนักคุ้มเจ้าต่างๆ ในล้านนา

พิพิธภัณฑ์อูบคำ ก่อตั้งขึ้นโดยอาจารย์จุลศักดิ์ สุริยะไชย ที่เปิดบ้านพักของตนเองต้อนรับผู้คนที่ปรารถนาเข้ามาสัมผัสกับ “มรดกล้ำค่าของอาณาจักรล้านนาโบราณ และความหลากหลายของเสื้อผ้าอาภรณ์ของชนชาติไตเผ่าต่างๆ ในอาณาจักรล้านนา” คำว่า อูบคำ เป็นชื่อที่มาจากอูบทองคำที่อาจารย์จุลศักดิ์ ได้รับเป็นมรดกตกทอดจากบิดา ซึ่งสืบเชื้อสายจากพระยาสุลวฤาชัย (หนานทิพย์ช้าง) เจ้านครลำปาง (พ.ศ. 2275-2301) พิพิธภัณฑ์ประกอบด้วย 3 อาคารหลัก ได้แก่

(1) คุ้มอูบคำที่จัดแสดงเครื่องเงิน ผ้าในราชสำนัก เครื่องเขิน และเครื่องประดับอาคาร

(2) คุ้มบัวเลื่อน (ชื่อได้มาจาก “บัว” ซึ่งเป็นนามของบิดา และ “เลื่อน” เป็นนามของมารดา) ในคุ้มบัวเลื่อนนี้จัดแสดงผ้าโบราณของชนชาติไทเผ่าต่างๆ บางชิ้นอายุกว่า 200 ปี และ

(3) คุ้มเจ้าฟ้า มีบัลลังก์ทองจากรัฐฉานเป็นงานประณีตศิลป์ชิ้นเด่นของอาคารจัดแสดงนี้ ข้าวของต่างๆ ได้มาจากทั้งในและต่างประเทศ อาทิ พม่า สิบสองปันนา วัตถุต่างๆ ที่ซื้อมาจากต่างประเทศยังนำมาขาย เพื่อนำเงินมาใช้ในกิจการของพิพิธภัณฑ์ แต่หากวัตถุชิ้นนั้นๆ มีความงามหรือมีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์ อาจารย์จะเก็บวัตถุดังกล่าวไว้เป็นของสะสมในพิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑ์ยังเปิดให้เช่าสถานที่จัดการแสดงและงานเลี้ยงต่างๆ



อ่านบทความเพิ่มเติม



วัดเชิงท่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

 วัดเชิงท่า ตั้งอยู่ริมฝั่งซ้ายของคลองเมืองหรือแม่น้ำลพบุรีเดิม สร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยา ในสมัยรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เจ้าพระยาโกษาปานได้ปฏิสังขรณ์วัด แล้วได้เปลี่ยนชื่อว่าวัดโกษาวาส




วัดเชิงท่า

ที่อยุธยามีวัดเชิงท่าอยู่ 2 แห่งคือที่อำเภอบางปะอินและอำเภอเมือง ซึ่งวัดเชิงท่าที่จะกล่าวถึงนี้เป็นวัดในอำเภอเมือง อยู่บริเวณท่าข้ามเรือฝั่งเกาะเมืองมายังฝั่งวัดเชิงท่า จึงเป็นที่มาของชื่อวัดเชิงท่าหรือวัดตีนท่า วัดแห่งนี้มีตำนานการก่อสร้างหลายสำนวน ทั้งในประวัติศาสตร์และวรรณคดี เช่น ตำนานว่ามีเศรษฐีสร้างเรือนหอให้บุตรสาวซึ่งหนีตามชายคนรักไปแล้วไม่ย้อนกลับ จึงถวายเรือนหอแก่วัดที่สร้างขึ้น ชื่อว่า วัดคอยท่า ซึ่งปรากฎในนิราศทวารวดีของหลวงจักรปราณีแต่หลักฐานทางประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า เมื่อพระยาโกษาปานราชทูตไทยสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช กลับมาจากฝรั่งเศสแล้วได้มาปฏิสังขรณ์วัดนี้และเปลี่ยนชื่อเป็นวัดโกษาวาส รวมทั้งเป็นสถานศึกษาของนายสิน หรือสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์ได้ทรงศึกษาภาษาไทย ขอมและพระไตรปิฎกที่วัดนี้ บริเวณวัดยังมีโบราณสถานสำคัญประจำวัด ได้แก่ ปรางค์ห้ายอดสมัยอยุธยา ซึ่งมีลักษณะพิเศษหาที่อื่นไม่ได้ โดยก่อฐานพระปรางค์เป็นทรงแท่งสี่เหลี่ยมจตุรัสและสร้างวิหารยื่นออกไปเป็นรูปกากบาทหรือไม้กางเขนโดยเฉพาะทางทิศใต้ซึ่งเป็นหน้าวัดแต่เดิม สร้างเป็นวิหารขนาดใหญ่เป็นมหาปราสาทยอดปรางค์ที่พบที่วัดเชิงท่านี้แห่งเดียว ส่วนศาลาการเปรียญสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 ภายในมีธรรมาสน์ปิดทองคำเปลวงดงาม ลายจำหลักไม้หน้าบันว่ากันว่าเป็นของเดิมที่เหลือรอดมาจากครั้งกรุงแตก ซึ่งย้ายมาจากวัดพระศรีสรรเพชญ์ในพระราชวังโบราณและยังมีงานช่างฝีมือเล็ก ๆ น้อย ๆ มากมาย เช่น ลายจำหลักไม้ที่ส่วนบน ที่เรียกว่านมบนของอกเลา หรือสันกลางบานประตูหน้าต่าง ซึ่งสลักลวดลายแต่ละบานไม่ซ้ำกันเลย ทั้งลายไทย จีนและฝรั่งเสาแต่ละต้นก็มีลายมือสมัยรัชกาลที่ 4 เขียนไว้อย่างบรรจง ถึงชื่อช่างที่เขียนลายประดับเสาต้นนั้น ๆ วัดเชิงท่าตั้งอยู่ที่ตำบลวาสุกรี อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถามได้ที่วัดเชิงท่า โทร. 0 3532 8030-1



ประวัติ วัดเชิงท่า

วัดเชิงท่า เป็นวัดตั้งอยู่ริมแม่น้ำลพบุรีฝั่งตะวันออก วัดเชิงท่าจึงมีอายุนานไม่น้อยกว่าสามร้อยปี กล่าวกันว่าเดิมชื่อวัดท่าเกวียนด้วยเป็นท่าของเกวียนลำเลียงสินค้าขนลงมาที่ท่าน้ำในบริเวณวัดแห่งนี้ ก่อนที่จะลำเลียงลงเรือส่งไปยังที่อื่นๆพื้นที่ของวัดเชิงท่าตั้งขวางหน้าพระราชวังคือ พระนารายณ์ราชนิเวศน์ ด้านที่หันหน้าสู่แม่น้ำ ลพบุรีเกือบครึ่งด้าน จึงชวนให้สันนิษฐานว่า วัดเชิงท่าน่าจะสร้างก่อนพระราชวัง และนับได้ว่าวัดเชิงท่า จึงเป็นวัดที่สำคัญทางประวัติศาสตร์และศิลปกรรมแห่งหนึ่งที่เชิดหน้าชูตา สร้างความงามสง่าทางศิลปวัฒนธรรมให้กับจังหวัดลพบุรีมาโดยตลอด



สิ่งก่อสร้างในแต่ละช่วง

สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ได้แก่ พระอุโบสถพระเจดีย์ประธานของวัดซึ่งอยู่บริเวณด้านหลังของพระอุโบสถ

สมัยรัตนโกสินทร์ ได้แก่ กุฏิสงฆ์เป็นแบบตึกสองชั้นทรงเก๋งจีน ศาลาตรีมุข อาคารโวทานธรรมสภา หอระฆัง ศาลาการเปรียญและพิพิธภัณฑ์หอโสภณศิลป์

ภายในวัดเชิงท่า

เจดีย์วัดเชิงท่า

ถาวรวัตถุภายในวัด

พระอุโบสถ มีลักษณะสถาปัตยกรรมคล้ายกับอุโบสถของวัดอื่น ๆ ทีสร้างในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ตัวพระอุโบสถตั้งอยู่บนฐานสูง มีลานกว้างโดยรอบตรงขอบลานมีกำแพงแก้วและมีซุ้มประตูกำแพง หน้าบันซุ้มทำเป็นรูปจั่ว ผังพระอุโบสถแบ่งพื้นที่ใช้สอยเป็นสองส่วนคือ ส่วนหน้าเป็นห้องโถงไม่มีผนัง เสาคู่หน้าสุดของพื้นที่ส่วนนี้เป็นเสาสี่เหลี่ยม มีปูนปั้นประดับหัวเสาเป็นรูปดอกบัวกลีบยาว ส่วนหลังมีพื้นที่ยาวกว่าคือ ห้องโถงมีผนังรอบ หลังคาของพระอุโบสถมุงด้วยกระเบื้องกาบ ช่อฟ้าและหางหงส์ทำเป็นรูปหัวนาค สำหรับพระอุโบสถก็คือเสมาคู่รอบพระอุโบสถ ซึ่งมักทำให้มีผู้สันนิษฐานว่า เสมาแบบนี้คือวัดหลวงไม่ใช่วัดราษฎร์ นอกจากนั้นในพระอุโบสถยังเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปประธานปางมารวิชัย ที่สร้างขึ้นด้วยหินทราย ลักษณะศิลปกรรมของพระพุทธรูปคล้ายกับพระประธานของวิหารวัดไลย์ อำเภอท่าวุ้ง เป็นพระพุทธรูปแบบที่นิยมสร้างขึ้นครั้งรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง จนถึงต้นรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ. 2172 – ราว พ.ศ. 2220 ) พระอุโบสถได้รับการบูรณะหลายครั้ง แต่ก็ได้พยายามคงรูปแบบลวดลายของเดิมไว้

พระเจดีย์ ตั้งอยู่บนลานเดียวกันกับพระอุโบสถแต่อยู่ด้านหลัง มีด้วยกันทั้งหมดสามองค์ด้วยกัน ดังนี้ เจดีย์ประธานตั้งอยู่กึ่งกลางลาน เป็นเจดีย์ทรงระฆังคว่ำเพรียวยาวลักษณะเจดีย์ทรงระฆังคว่ำแบบนี้คล้ายกับเจดีย์ของวัดอัมพวัน อำเภอเมืองลพบุรี ซึ่งเป็นวัดในชุมชนมอญบ้านบางขันหมาก ส่วนเจดีย์บริวารอีกสององค์เป็นเจดีย์ทำเป็นรูปดอกบัวบานรองรับองค์ระฆัง มีลักษณะคล้ายกับเจดีย์วัดตองปุ (ลพบุรี) อำเภอเมืองลพบุรี ซึ่งสร้างขึ้นครั้งปลายสมัยอยุธยานอกจากนั้นบริเวณนอกลานพระอุโบสถด้านทิศตะวันออกยังมีเจดีย์บริวารอีก 3 องค์ เป็นเจดีย์แบบย่อมุมไม้สิบสอง ซึ่งเป็นศิลปกรรมที่แพร่หลายตั้งแต่สมัยอยุธยาจนถึงสมัยต้นรัตนโกสินทร์

หอระฆัง หอระฆังเป็นอาคารทรงปราฝค์แปดเหลี่ยม สร้างขึ้นเมื่อปี 2462 ลักษณะจองการสร้างคือมีการเจาะช่องประตูและหน้สต่างเป็นช่องโค้งแหลม นับเป็นหอระฆังที่มีลักษณะที่แปลกและหาชมได้ยาก


ข้อมูลสถานที่

วัดเชิงท่า หรือ วัดตีนท่า หรือ วัดติณ หรือ วัดคลัง หรือ วัดโกษาวาสน์ ตั้งอยู่ที่ ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นวัดเก่า สร้างขึ้นในรัชสมัย สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ หรือ พระเจ้าอู่ทอง แต่ไม่ปรากฏหลักฐานว่าใครเป็นผู้สร้าง วัดตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเกาะเมือง ริมฝั่งซ้ายของ แม่น้ำลพบุรี ใกล้กับ คูไม้ร้อง ซึ่งเป็นอู่เก็บเรือพระที่นั่ง ในสมัย กรุงศรีอยุธยา ฝั่งตรงข้ามวัด คือ ป้อมท้ายสนม และ ปากคลองท่อ ซึ่งเป็นท่าข้ามเรือของฝั่งเกาะเมือง มาขึ้นฝั่งที่ท่าน้ำหน้า วัดเชิงท่า



ลักษณะเด่น

รูปหล่อ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี มหาราช ทรงบัลลังก์ ขนาดเท่าองค์จริง – ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสิน มหาราช (สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี มหาราช) – พระประธานหันพระพักตร์ไปทางทิศใต้ ยังคลองเมืองหรือแม่น้ำลพบุรีเดิม – หอระฆังอยู่ทางทิศตะวันออกของพระปรางค์ อุโบสถหลังเก่าขนาบด้านตะวันตก เห็นความเก่าแก่ จากรอยปูน

ทำเนียบนามเจ้าอาวาสวัดเชิงท่า

พระอุปัชฌาย์คล้าย

พระครูโวทานสมณคุต (รุ่ง)

พระอธิการกราน

พระภิกษุพิณ สุภัทโท ได้เป็นเจ้าอาวาสวัดเชิงท่าตั้งแต่ พ.ศ. 2475 ครั้นถึง พ.ศ. 2482 ได้ลาสิกขา

พระครูโสภณธรรมรัต (ถม ธมฺมทีโป) ได้รับแต่งตั้งได้ทำหน้าที่รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดเชิงท่าตั้งแต่ พ.ศ. 2482 ครั้นถึง พ.ศ. 2540 จึงได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดเชิงท่า ถึง พ.ศ. 2552

พระครูสุธรรมโฆษิต (ปิยชัย ปภาโส) พ.ศ. 2552-ปัจจุบัน

อ่านบทความเพิ่มเติม





พาเที่ยว วัดไลย์ จังหวัดลพบุรี

วัดไลย์ เป็นวัดตั้งอยู่ริมน้ำบางขาม ตำบลเขาสมอคอน อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี เป็นวัดเก่าตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น รัชกาลสมเด็จพระเจ้าบรมโกศทรงปฏิสังขรณ์ มีพระวิหาร ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมแบบอยุธยาตอนต้น คือ มีลักษณะเจาะช่องผนังแทนหน้าต่าง ๆ ภายในมีพระประธานขนาดใหญ่ปางมารวิชัย ลงรักปิดทอง มีซุ้มเรือนแก้วแบบพระพุทธชินราช จังหวัดพิษณุโลก ด้านหน้าและด้านหลังของพระวิหารมีลายปูนปั้นเรื่องทศชาติ และเรื่องปฐมสมโพธิงามน่าดูนัก ซึ่งนับว่าเป็นภาพประติมากรรมฝาผนังขนาดใหญ่ที่มีความสำคัญยิ่งชิ้นหนึ่งของชาติ นอกจากนี้วัดไลย์ยังมีรูปพระศรีอาริย์เป็นของสำคัญอีกอย่างหนึ่งซึ่งผู้คนนับถือกันมาแต่โบราณ ในรัชกาลที่ 5 ไฟป่าไหม้วิหารรูปพระศรีอาริย์ชำรุดไป พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดฯให้อัญเชิญลงมาปฏิสังขรณ์ในกรุงเทพฯ แล้วคืนกลับไปประดิษฐานอย่างเดิม ถึงเทศกาลราษฎรยังเชิญออกแห่เป็นประเพณีทุกปี ปัจจุบันทางวัดได้ก่อสร้างวิหารสำหรับประดิษฐานพระศรีอาริย์ขึ้นใหม่ ด้านหน้าเป็นรูปมณฑลจตุรมุขแลดูสง่างามมาก พระศรีอาริยเมตไตรยหรือหลวงพ่อพระศรีอาริย์ ซึ่งชาวบ้านนับถือกันมาแต่ครั้งโบราณ มีงานนมัสการที่ยิ่งใหญ่เป็นประจำทุกปี ศิลปะชิ้นเอกที่ไม่ควรพลาดชมคือ ปูนปั้นที่ผนังด้านนอกวิหารเรื่องพุทธประวัติและทศชาติชาดก นอกจากนี้ยังมีพิพิธภัณฑ์จัดแสดงโบราณวัตถุและข้าวของเครื่องใช้ที่ชาวบ้านนำมาถวายให้ชมด้วย






วัดไลย์

ใน พ.ศ. 2561 วัดไลย์เป็นข่าวเนื่องจากมีการบูรณะวัดโดยนำสีทองมาทาทับอาคารโบราณทั้งหลัง ทำให้อธิบดีกรมศิลปากรต้องลงพื้นที่ไปสั่งขูดออกด้วยตนเอง

ตำนานเกี่ยวกับ วัดไลย์

ที่วัดนี้มีพระพุทธรูปอยู่องค์หนึ่ง ประชาชนเลื่อมใสศรัทธามาก คือพระศรีอาริย์ โดยมีตำนานเล่าเกี่ยวกับพระศรีอาริย์นี้ว่า ชายแก่คนหนึ่งชื่อว่ามณฑา หมั่นทำบุญรักษาศีลภาวนาอยู่เป็นนิจ เพื่อจะได้มีอายุยืนให้ถึงสมัยพระศรีอาริย์มาโปรดโลกมนุษย์ ก่อนจะตายแกได้สั่งญาติไว้ว่าให้เอาศพแกไว้7วันแล้วค่อยเผา เมื่อเฒ่ามณฑาตายไป ด้วยบุญกุศลที่แกสร้างสมไว้ พระอินทร์จึงเป็นผู้มารับวิญญาณและแจ้งแกว่าพระศรีอาริย์มาเกิดเป็นมนุษย์แล้วและบวชเป็นพระอยู่วัดไลย์ แต่ไม่รู้ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร พระอินทร์จึงมอบดอกบัวหนึ่งดอกแก่เฒ่ามณฑา เพื่อนำไปกราบพระศรีอาริย์ แล้วส่งวิญญาณแกกลับสู่ร่าง เฒ่ามณฑาฟื้นขึ้นมาแล้วเล่าเรื่องไปพบพระอินทร์ให้ญาติพี่น้องฟัง และรีบไปวัดไลย์ เมื่อไปถึงพระกำลังสวดปาฏิโมกข์อยู่ในโบสถ์ แกจึงนั่งรออยู่ที่บันไดโบสถ์พร้อมกับพนมมือชูดอกบัวขึ้นถวาย พระได้เดินออกจากโบสถ์ทีละรูป แต่ไม่มีพระองค์ใดรับดอกบัวเลย เนื่องจากพระมองไม่เห็นดอกบัว เห็นเพียงเฒ่ามณฑานั่งพนมมืออยู่ เมื่อพระออกจากโบสถ์จนหมดแล้ว เฒ่ามณฑาจึงถามเณรว่า พระวัดนี้หมดแล้วหรือ เณรบอกว่ายังมีอีกรูปหนึ่งชื่อพระศรี วันนี้อาพาธไม่ได้ลงโบสถ์ แกจึงรีบไปหาพระศรีที่กุฏิเพื่อถวายดอกบัว พระศรีเห็นดอกบัวก็รีบลุกขึ้นรับ เฒ่ามนฑารู้ทันทีว่าเป็นพระศรีอาริย์ยังความปลาบปลื้มปิติให้แก่เฒ่ามณฑาเป็นอย่างยิ่ง จึงขออยู่รับใช้พระศรีอาริย์ โดยพระศรีอาริย์ไม่ให้แกเล่าเรื่องที่พระศรีอาริย์ลงมาเกิดในโลกมนุษย์และบวชเป็นพระอยู่วัดไลย์ให้แกรู้ อยู่ต่อมาพระศรีย์ก็ถึงแก่มรณภาพ พระภิกษุสามเณรและประชาชนผู้มีจิตศรัทธาจึงร่วมกันหล่อรูปพระศรีอาริย์แต่ทำอย่างไรก็ไม่เสร็จ พระอินทร์จึงแอบมาหล่อให้ในเวลาเพลที่ภิษุสามเณรไปฉันเพล เมื่อกลับจากฉันเพลก็เห็นรูปหล่อพระศรีอาริย์เสร็จเรียบร้อยแล้วเป็นที่อัศจรรย์



พระศรีอริยเมตไตร

พระศรีอาพระศรีอริยเมตไตร หรือพระศรีอาริย์ เป็นปูชนียวัตถุสำคัญของวัดไลย์ จังหวัดลพบุรี สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นตั้งแต่แรกตั้งกรุงศรีอยุธยา หรือในสมัยสุโขทัย เป็นการหล่อแบบพุทธสาวก ศีรษะโล้น ไม่มีเปลวรัศมี ลักษณะคล้ายมนุษย์สามัญ นั่งขัดสมาธิคล้ายปางมารวิชัย ศิลปะรัตนโกสินทร์ ทำจากสำริด ลงรักปิดทอง ตามตำนานว่าหล่อขึ้นแทนองค์พระศรีอาริยเมตไตรองค์เดิมซึ่งสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าปราสาททอง ที่อยู่ในวิหารที่ถูกไฟใหม้ ต่อมาในรัชกาลที่ 5 จึงโปรดฯ ให้พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประดิษฐวรการ ซ่อมสร้างขึ้นใหม่

พิพิธภัณฑ์สถาน

ความงดงามของวัดเก่าแก่ของวัดไลย์แห่งนี้ นับเป็นเส้นทางแห่งการสืบสานศิลปวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของผู้คนในสังคมละแวกนี้ และนี้คืออาคารพิพิธภัณฑ์สถานของวัดไลย์ ที่รวบรวมโบราณวัตถุมาเก็บรักษาไว้ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2530 เป็นต้นมา


หอประชุมสงฆ์

บรรดาโบราณวัตถุและปูชนียวัตถุในวัดไลย์ก็ย่อมมีความเป็นไปฉันท์นั้น หลายสิ่งหลายอย่างสูญหายไปกับกาลเวลา แต่อาคารจัตุรมุขอันทรงคุณค่าของศิลปกรรมแห่งนี้ ทั้งหน้าบันทั้งสี่ด้านประดิษฐ์ด้วยไม้แกะสลักรูปพระนารายณ์ทรงครุฑ ที่วิจิตรบรรจงสวยงาม ยากจะหาแห่งใดมาเสมอเหมือน นับเป็นศิลปกรรมที่ประมาณค่าไม่ได้

พระวิหารเก้าห้อง

บริเวณของพระวิหารเก้าห้อง เป็นวิหารที่ประกอบไปด้วยงานศิลปกรรมอันล้ำค่า ทอดถึงภูมิปัญญาไทย ตัววิหารกว้าง 13 เมตร ยาว 29 เมตร มีประตูเข้าออก 4 ประตู นับเป็นวิหารที่มีขนาดใหญ่ มีภาพปูนปั้นเรื่องทศชาติ และปฐมสมโพธิที่ผนังด้านหน้าและด้านหลัง สวยงาม สมบูรณ์ ชนิดเป็นข้อสันนิษฐานว่าพระวิหารหลังนี้สร้างขึ้นในสมัยสุโขทัย มีอายุอยู่ในราว 800-900 ปีเศษ ภายในประดิษฐานพระพุทธรูป สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้นหน้าตักขนาด 3.8 เมตร

ถาวรวัตถุที่สำคัญ

วิหารเก่า เป็นวิหารทรงยาว ฐานรับตัวอาคารทำเป็นบัวคว่ำชั้นเดียว ไม่มีหน้าต่าง แต่เจาะช่องลมที่ผนังทั้งสองข้าง ข้างละห้าช่อง อันเป็นความนิยมของสถาปัตยกรรมก่อนสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีสิ่งน่าชมได้แก่

ลายปูนปั้น ประดับอยู่ที่ผนังนอกวิหารทั้งด้านหน้าและด้านหลัง และมุขตอนในวิหาร เป็นลายปูนปั้นเต็มพื้นผนัง มีความงดงามและสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ ที่ผนังด้านหน้าเป็นเรื่องพุทธประวัติและทศชาติชาดก ส่วนด้านหลังยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ บ้างว่าเป็นพุทธประวัติตอนมารผจญ บ้างก็ว่าเป็นตอนแบ่งพระบรมสารีริกธาตุแต่บางคนก็ว่าเป็นเรื่องมโหสถชาดก ที่ผนังมุขตอนในเป็นเรื่องพุทธประวัติตอนเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกผนวช

พระประธาน เป็นพระปางสมาธิในซุ้มเรือนแก้วคล้ายพระพุทธชินราช ศิลปะอู่ทองสังเกตได้จากพระพักตร์เป็นรูปไข่ แต่ดูเข้มแข็งบึกบึน มีไรพระศก และชายสังฆาฏิตัดตรง เดิมองค์พระเป็นหินทรายแดง แต่ปัจจุบันมีการพอกปูนและลงรักปิดทอง

ค่ำคืนวัดไลย์

ลำดับเจ้าอาวาสวัดไลย์

หลวงพ่อบุญ

หลวงพ่อชื่น

หลวงพ่อพลบ

หลวงพ่อสุ่น พุทฺธสโร

พระครูสุพุทธิสุนทร (หลวงพ่อเล็ก)

พระครูสุจิตธรรมธัช (สาย สุจิตฺโต)

พระครูสถิตปุญญาภิสันท์ (สงวน ฐิตปุณโญ)

พระครูวิลาส พัฒนคุณ (มหาบุญยัง อคฺคธมฺโม)

ประเพณีที่สำคัญ

ประเพณีชักพระศรีอาริย์จะมีในวันขึ้น 14 ค่ำเดือน 6 ของทุกปี โดยทางวัดไลย์จะอัญเชิญรูปหล่อพระศรีอาริย์ประดิษฐานบนแท่นตะเฆ่ แล้วประชาชนร่วมกันชักลากตะเฆ่ ตลอดทางที่ชักพระผ่านจะมีประชาชนตั้งโรงทาน และมีจุดหยุดเพื่อให้ประชาชนได้สรงน้ำ ซึ่งเป็นประเพณีที่มีผู้หลั่งไหลเข้าร่วมเป็นจำนวนมากทุกปี พุทธศาสนิกชนจะอัญเชิญรูปหล่อพระศรีอาริย์ประดิษฐานบนตระเข้ชนิดไม่มีล้อ จัดขบวนแห่ด้วยการให้ประชาชนมาร่วมฉุดลากไปตามที่เส้นทางกำหนด เปิดโอกาสให้ประชาชนได้สรงน้ำและกราบนมัสการปิดทองพระศรีอาริย์อย่างทั่วถึง

อ่านบทความเพิ่มเติม




วันอังคารที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2566

ที่เที่ยวโบราณ ป้อมไพรีพินาศ จังหวัดจันทบุรี

ป้อมไพรีพินาศ ตั้งอยู่บนเขาแหลมสิงห์ หมู่ 1 ตำบลบางกะไชย อำเภอแหลมสิงห์ จังหวัดจันทบุรี เป็นป้อมที่สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ในปี พ.ศ. 2377 เพื่อเตรียมรับศึกญวณที่อาจจะยกมาทางทะเล แต่เดิมไม่มีชื่อจนพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสมณฑลจันทบุรี ทรงพระราชทานนามป้อมนี้ว่า ป้อมไพรีพินาศ ซึ่งอยู่คู่กับป้อมพิฆาฏข้าศึก (ป้อมพิฆาตปัจจมิตร)




ป้อมสร้างขึ้นบริเวณปากแม่น้ำ อยู่บนเขาแหลมสิงห์ ซึ่งเป็นเขาขนาดเล็ก ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจันทบุรี มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 172 เมตร บริเวณหินชายฝั่ง ที่มีลักษณะคล้ายกับสิงโตหมอบ (จึงเรียกว่า “แหลมสิงห์”) บนเขาแหลมสิงห์เป็นทำเลที่เหมาะกับการตั้งป้อมปืน สามารถมองเห็นข้าศึกที่เข้ามาทางทะเลได้แต่ไกล


ป้อมไพรีพินาศ

ป้อมไพรีพินาศ มี 3 ชั้น คือชั้นบน ชั้นกลาง และชั้นล่าง มีการก่อสร้างลักษณะเป็นปีกกา โดยใช้การถมดินเป็นใบเสมาป้อมอันใหญ่ เรียงติดต่อกันไปเหมือนปีกกา โอบเขาทั้งสอง ตัวป้อมเป็นแบบก่ออิฐถือปูน กว้าง 3 เมตร ยาว 5 เมตร ผนังหนา 60 เซนติเมตร ใกล้กันมีคลังกระสุนดินดำ ก่อด้วยปูน ขนาดกว้าง 1 เมตร ยาว 2.8 เมตร

ปัจจุบันบริเวณป้อมปืนได้มีการปรับภูมิทัศน์ มีกระบอกปืนใหญ่ 2 กระบอก วางให้เห็นว่าเคยเป็นจุดที่เป็นป้อมปืน และมีห้องเก็บกระสุนดินดำที่ยังคงหลงเหลือร่องรอยให้เห็นอยู่ และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน โดยกรมศิลปากร เมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2478 โดยประกาศเป็นพื้นที่โบราณสถานประมาณ 17 ไร่ 58 ตารางวา

เจดีย์อิสระภาพ เป็นเจดีย์ที่ตั้งอยู่ภายในป้อมไพรีพินาศ สร้างขึ้นโดยพระยาพิพิธพิไสยสุนทรการ ผู้ว่าราชการเมืองตราด ร่วมกับชาวจันทบุรีสร้างขึ้นมาบริเวณเขาแหลมสิงห์เพื่อเป็นที่ระลึกในการประกาศอิสระภาพหลังประเทศฝรั่งเศสได้ถอนกำลังออกจากจังหวัดจันทบุรี

ลักษณะสถาปัตยกรรมของเจดีย์อิสระภาพเป็นเจดีย์ก่ออิฐถือปูน เจดีย์เป็นทรงระฆังในผังกลม พร้อมกับฐานบัวคว่ำบัวหงายชุดมาลัยเถา บัวลูกแก้วอกไก่เป็นส่วนที่รองรับองค์ระฆัง มีลักษณะยืดสูง เหนือขึ้นไปเป็นองค์ระฆัง ประกอบกับบัลลังก์สี่เหลี่ยม เสาหานปล้องไฉนและปลียอด ฐานของเจดีย์เป็นแบบประทักษิณพร้อมทั้งพนักระเบียงในผังสี่เหลี่ยมจตุรัส มีการประดับด้วยกระเบื้องเคลือบปรุลายแบบของจีน พร้อมกับกำแพงแก้วแบบเตี้ยภายในฐานล้อมรอบเจดีย์ โดยเป็นศิลปะในยุครัตนโกสินทร์ ของศาสนาพุทธ นิกายเถราวาท



ประวัติ ป้อมไพรีพินาศ

โบราณสถานป้อมไพรีพินาศตั้งอยู่ที่หมู่ที่ ๑ บ้านแหลมสิงห์ ตำบลบางกะไชย อำเภอแหลมสิงห์ จังหวัดจันทบุรี หรือพิกัดภูมิศาสตร์ที่รุ้ง ๑๓ องศา ๒๗ ลิปดา ๕๗ พิลิปดาเหนือ แวง ๑๐๑ องศา ๙ ลิปดา ๕๒ พิลิปดาตะวันออก

โดยสันนิษฐานว่า เป็นป้อมที่สร้างขึ้นในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือรัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งในช่วงเวลานั้นไทยเกิดกรณีพิพาทกับญวน

เนื่องจากเหตุการณ์กบฏเจ้าอนุหรือเจ้าอนุวงศ์แห่งเวียงจันทร์และกบฏองค์จันแห่งเขมร ทำให้พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงขัดเคืองญวนที่ให้การช่วยเหลือเจ้าอนุและองค์จัน จึงมีพระราชดำริให้เจ้าพระยาบดินทรเดชาและเจ้าพระยาพระคลังเป็นแม่ทัพควบคุมไพร่พลไปรบญวนในปี พ.ศ. ๒๓๗๖ กระทั่งในปีพ.ศ. ๒๓๗๗ จึงทรงเกรงว่าญวนจะยกไพร่พลมารบไทยคืนบ้าง จึงมีพระราชดำริให้เตรียมต่อเรือและสร้างป้อมขึ้นเพื่อป้องกัน โดยให้เจ้าพระยาพระคลังเป็นแม่กองเกณฑ์คนทำการต่อเรือ และให้เจ้าพระยาพระคลังเป็นแม่กองไปสร้างเมืองจันทบุรีขึ้นใหม่ที่ค่ายเนินวงพร้อมกับสร้างวัดโยธานิมิตเพื่อเป็นวัดประจำเมืองแล้วให้จมื่นราชามาตย์ ชื่อขำ หรือต่อมาเป็นเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ไปสร้างป้อมที่ปากน้ำจันทบุรี ดังความว่า



ทางขึ้นป้อมไพรีพินาศ

“… ให้เจ้าพระยาพระคลังเป็นแม่กองไปสร้างเมืองจันทบุรี เจ้าพระยาพระคลังให้รื้อกำแพงเมืองเก่าเสีย เพราะด้วยอยู่ลึกเข้าไปนัก ไม่เป็นที่รับรองข้าศึก จึ่งสร้างเมืองใหม่ขึ้นที่เนินวง ด้วยบ้านราษฎรอยู่ลึกเข้าไปข้างหลัง เมืองเป็นที่ป้องกันครอบครัวพลเมืองได้ แล้วจึงสร้างวัดขึ้นสำหรับเมืองวัด ๑ ชื่อวัดโยธานิมิต แล้วให้จมื่นราชามาตย์ ชื่อขำ ไปทำป้อมที่แหลมด่านปากน้ำป้อม ๑ ชื่อ ป้อมภัยพินาศ ที่เขาแหลมสิงห์ป้อมเก่าทำเสียใหม่ ป้อม ๑ ชื่อ ป้อมพิฆาฏปัจจามิตร แล้วโปรดให้จมื่นไวยวรนารถ ชื่อช่วง ต่อกำปั่นขึ้นลำ ๑ ปากกว้าง ๑๐ ศอก เป็นตัวอย่าง…”

อีกทั้งยังมีพระราชดำริให้สร้างป้อมเมืองฉะเชิงเทราและป้อมคงกระพันที่ปากคลองบางปลากดเมืองสมุทรปราการเพื่อเตรียมการป้องกันในครั้งนี้ด้วย

ป้อมที่ปากน้ำจันทบุรีทั้งสองแห่งที่ปรากฏในหลักฐานเอกสารนี้ ภายหลังได้รับการพระราชทานชื่อใหม่โดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือรัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อครั้งยังทรงผนวชและได้เสด็จประพาสเมืองจันทบุรีพร้อมกับได้เสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรป้อมทั้งสองแห่งนี้ ซึ่งได้พระราชทานชื่อป้อมที่เขาแหลมสิงห์ (ป้อมพิฆาฏปัจจามิตรในสมัยรัชกาลที่ ๓) ว่า “ป้อมไพรีพินาศ” และป้อมที่หัวแหลม (ป้อมภัยพินาศ) ว่า “ป้อมพิฆาฏข้าศึก” โดยในปัจจุบันป้อมไพรีพินาศยังคงหลงเหลือร่องรอยหลักฐานให้เห็น แต่ป้อมพิฆาฏข้าศึกนั้น แทบไม่หลงเหลือร่องรอยหลักฐาน เนื่องจากบริเวณที่ตั้งของป้อมพิฆาฏข้าศึกเป็นที่ตั้งของตึกแดงที่สร้างขึ้นภายหลังในสมัยที่ฝรั่งเศสยึดเมืองจันทบุรีในปี พ.ศ. ๒๔๓๖




ลักษณะของป้อม

เป็นป้อมที่ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาแหลมสิงห์ที่ยื่นออกไปทางทะเลด้านตะวันออก มีลักษณะเป็นแนวกำแพงป้อมก่ออิฐถือปูนที่ก่อขึ้นมาบนพื้นเขาธรรมชาติ โค้งไปตามแนวเชิงเขา มีขนาดความกว้างประมาณ ๓ เมตร ยาวประมาณ ๕ เมตร และแนวกำแพงป้อมหนาประมาณ ๖๐ เซนติเมตร บริเวณป้อมพบปืนใหญ่ที่ผลิตโดยบริษัทอาร์มสตรอง ประเทศอังกฤษ ซึ่งผลิตขึ้นในปี ค.ศ. ๑๘๖๘ (พ.ศ. ๒๔๑๑) มีลักษณะเป็นปืนใหญ่ที่หล่อด้วยเหล็ก บรรจุกระสุนทางปากลำกล้อง มีขนาดความยาวประมาณ ๒.๓ เมตร นอกจากนี้บริเวณทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือของป้อมมีคลังกระสุนดินดำก่ออิฐถือปูนมีขนาดความกว้างประมาณ ๑ เมตร ยาว ๒.๘๐ เมตร โดยผลการขุดตรวจทางโบราณคดีในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ พบว่าป้อมไพรีพินาศเป็นป้อมที่สร้างในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ซึ่งไม่พบหลักฐานการสร้างเพิ่มเติมในสมัยหลัง และคลังกระสุนดินดำสร้างขึ้นพร้อมกันกับตัวป้อม

บริเวณใกล้กับป้อมไพรีพินาศมีเจดีย์ทรงระฆังจำนวน ๑ องค์ ซึ่งชาวจันทบุรีสร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๔๙ เพื่อเป็นที่ระลึกถึงเหตุการณ์ที่กองทหารฝรั่งเศสถอนกำลังออกจากเมืองจันทบุรี โดยได้สร้างครอบเจดีย์องค์เดิมที่สร้างขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ซึ่งปรากฏเรื่องราวอยู่ในหลักฐานเอกสารพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เรื่องเสด็จประพาสจันทบุรี เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๑๙ ดังความว่า

“… แล้วเดินขึ้นไปเขาสูงประมาณสัก ๓๐ วา มีใบเสมาป้อมก่อไปตามไหล่เขาอีกชั้นหนึ่ง ข้างบนนั้นเป็นพระเจดีย์ ว่าพระพิพิธเมืองตราดมาสร้างไว้ เป็นพระเจดีย์ตามธรรมเนียม…”


กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนป้อมไพรีพินาศ ตำบลบางกะไชย อำเภอแหลมสิงห์ จังหวัดจันทบุรี เป็นโบราณสถานสำหรับชาติ ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๕๒ หน้า ๓๖๘๑ ลงวันที่ ๘ มีนาคม ๒๔๗๘ และประกาศกำหนดเขตที่ดินโบราณสถานป้อมไพรีพินาศ ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๙ ตอนพิเศษ ๑๒๙ง ลงวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๕ พื้นที่โบราณสถานประมาณ ๑๗ ไร่ ๕๘ ตารางวา

อ่านบทความเพิ่มเติม






ไทยพลัสนิวส์ 10 อาหารที่กินแล้วทำให้ แก่วัย

 ไทยพลัสนิวส์ 10 อาหารที่กินแล้วทำให้ แก่วัย ไทยพลัสนิวส์ 10 อาหารที่กินแล้วทำให้ แก่วัย เรื่องของอาหารการกิน ยังไงก็เป็นเรื่องที่สำคัญ ต่อร...