วันพฤหัสบดีที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2566

ไทยพลัสนิวส์ 10 อาหารที่กินแล้วทำให้ แก่วัย

 ไทยพลัสนิวส์ 10 อาหารที่กินแล้วทำให้ แก่วัย

ไทยพลัสนิวส์ 10 อาหารที่กินแล้วทำให้ แก่วัย เรื่องของอาหารการกิน ยังไงก็เป็นเรื่องที่สำคัญ ต่อร่างกาย เนื่องจาก สารอาหารสำคัญ และ วิตมินต่าง ๆ จะช่วยทำให้ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังทำให้ร่างกายแข็งแรงอีกด้วย แต่การกินอาหารนั้น ก็ควรที่จะเลือกสักหน่อย เพราะ อาหารที่ทำให้แก่ก่อนวัย ก็มีอยู่เช่นกัน แต่จะเป็นอาหารอะไรบ้าง ที่คุณควรหลีกเลี่ยง





ไทยพลัสนิวส์ 10 อาหารที่กินแล้วทำให้ แก่วัย

อาหารที่กินแล้วทำให้ แก่วัย 

สำหรับสาเหตุหลัก ๆ ที่ส่งผลทำให้เกิดการเร่งกระบวนการชราของผิวนั้น มีอยู่ 2 ประการ ซึ่งได้แก่ 


การออกแดด 

การเกิดปฏิกิริยาในร่างกายของเราจากน้ำตาลส่วนเกิน และ โปรตีนในร่างกายเกิดปฏิกิริยาและรวมตัวกันทำให้เกิดสาร AGEs ขึ้นมา (Advanced glycation end products หรือ AGEs) 

ถึงแม้สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้จะไม่สามารถควบคุมได้ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่การใช้ครีมกันแดดและการคำนึงถึงอาหารโดยรวมที่กินเข้าไป ก็สามารถช่วยทำให้ร่างกายของเราปกป้องและรักษาผิวได้ 

อย่างไรก็ดีคุณควรเตือนความจำตัวเองเอาไว้ด้วยว่า อาหารบางชนิดนั้นมีผลต่อสุขภาพผิวของคุณ บางครั้ง อาหารที่ทำให้แก่ก่อนวัย ก็อาจส่งผลทำให้คอลลาเจนน้อยลงและทำลายผิวของคุณได้ การหลีกเลี่ยงการกินอาหารเหล่านี้ อาจจะเป็นเรื่องที่ดีกว่า ซึ่งอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงเพราะอาจทำให้คุณแก่ก่อนวัยอันควรนั้น มีดังนี้ 



10 อาหารที่กินแล้วทำให้ แก่วัย 

เฟรนช์ฟรายส์ที่ทอดด้วยมันฝรั่ง 

เฟรนช์ฟรายส์เป็นอาหารที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ทั้งยังสามารถเกิดปฏิกิริยาในร่างกายของเราจากน้ำตาลส่วนเกินและโปรตีนในร่างกายเกิดปฏิกิริยาและรวมตัวกันทำให้เกิดสาร AGEs ขึ้นมา เพราะต้องผ่านการทอดและมีรสชาติที่เค็ม ซึ่งอาหารที่ทอดในน้ำมันที่อุณหภูมิสูง จะปล่อยอนุมูลอิสระที่ทำให้เซลล์ทำลายผิวหนังได้ 

การสัมผัสกับอนุมูลอิสระจะช่วยเร่งกระบวนการชรา เนื่องจากการกระทำที่เรียกว่า “การเชื่อมโยงระหว่างสายโซ่โมเลกุล (Cross-linking)” โดยการเชื่อมโยงที่เกิดขึ้นนี้มีผลต่อโมเลกุลของดีเอ็นเอ และอาจทำให้ความยืดหยุ่นของผิวหนังลดลง 


ยิ่งไปกว่านั้นการกินเกลือมากเกินไป สามารถดึงน้ำออกจากผิวหนังและนำไปสู่ภาวะขาดน้ำได้ นั่นอาจทำให้ผิวของคุณมีแนวโน้มที่จะเกิดริ้วรอยขึ้นได้ เพราะฉะนั้น ลองเปลี่ยนเฟรนช์ฟรายส์ที่ทอดจากมันฝรั่ง มาเป็นเฟรนส์ฟรายที่ทอดจากมันเทศ เนื่องจากมันเทศนั้นอุดมไปด้วยทองแดง ซึ่งช่วยในการต่อต้านริ้วรอบแห่งวัย และช่วยในการผลิตคอลลาเจนด้วย 


ขนมปังขาว 

เมื่อคาร์โบไฮเดรตกลั่นรวมกับโปรตีนจะทำให้เกิดการก่อตัวของ AGEs ซึ่งมีผลโดยตรงต่ออายุ โรคเรื้อรัง และกระบวนการชรา อาหารที่มีดัชนีน้ำตาลสูง เช่น ขนมปังขาว อาจทำให้เกิดการอักเสบในร่างกาย ซึ่งเชื่อมโยงกับกระบวนการชรา ดังนั้น ลองหาทางเลือกอื่นแทนขนมปังขาว เช่น ขนมปังธัญพืชที่ไม่ใส่น้ำตาล เพราะมันมีสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งมีประโยชน์ต่อผิว 

น้ำตาลทรายขาว 

น้ำตาลถือเป็นหนึ่งในตัวการที่ทำให้เกิดปัญหาผิวที่ไม่พึงประสงค์ เช่น สิว เนื่องจากน้ำตาลมีส่วนช่วยในการสร้างคอลลาเจนที่ทำลาย AGEs เมื่อระดับน้ำตาลของเราสูงขึ้น กระบวนการ AGEs จะถูกกระตุ้น และมันจะเกิดปฏิกิริยาเร็วขึ้นหากมีแสงแดดเข้ามาเกี่ยวข้อง 

ดังนั้น แทนที่จะกินไอศกรีมปกติ ให้เลือกกินผลไม้แช่แข็ง เพื่อความสดชื่น หรือไอศกรีมที่ไม่เติมน้ำตาลแทน นอกจากนั้นลองหยิบผลไม้หรือดาร์กช็อกโกแลต มากินแทนเมื่อเกิดความรู้สึกว่าอยากกินอะไรหวานๆ โดยเฉพาะบลูเบอร์รี่ เพราะ ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่อย่างสามารถป้องกันการสูญเสียคอลลาเจนได้ 


เนยเทียม 

จากการศึกษาที่เก่าแก่แสดงให้เห็นว่าผู้ที่ไม่กินเนยหรือเนยเทียมเลย จะมีความเสียหายต่อผิวหนังและมีริ้วรอยน้อยกว่าผู้ที่กิน ทั้งยังมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ได้ตรวจสอบแล้วว่า เนยเทียมนั้นไม่ดีถ้าเทียบกับเนยแท้ เนื่องจากมีน้ำมันที่เติมไฮโดรเจนบางส่วนสูง  นอกจากนั้นกรดไขมันทรานส์จากเนยเทียมยังทำให้ผิวมีความเสี่ยงต่อรังสีอัลตราไวโอเลต ซึ่งอาจทำลายคอลลาเจน และ ความยืดหยุ่นของผิวหนังได้ 

ดังนั้น ลองเปลี่ยนจากการใช้เนยทาลงบนขนมปังเป็นการใช้น้ำมันมะกอกหรือทาอะโวคาโดที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระต่อต้านริ้วรอยลงบนขนมปังแทนจะเป็นการดีกว่า 


เนื้อสัตว์แปรรูป 

ฮอทดอก เบคอน และไส้กรอก ล้วนทำมาจากเนื้อสัตว์แปรรูปที่อาจเป็นอันตรายต่อผิวหนัง เนื่องจากเนื้อสัตว์เหล่านี้มักมีโซเดียม ไขมันอิ่มตัว และ ซัลไฟต์สูง ซึ่งทั้งหมดสามารททำให้ผิวขาดน้ำ และทำให้คอลลาเจนอ่อนแอลงได้ จนทำให้เกิดการอักเสบ 

หากต้องการโปรตีนลองเปลี่ยนจากเนื้อสัตว์แปรรูปมาเป็นไข่ หรือ ถั่ว ดูจะเป็นการดีกว่า หรือ ไม่เช่นนั้น ลองเลือกเนื้อสัตว์ที่ไม่ติดมัน เช่น เนื้อไก่ เนื้อสัตว์เหล่านี้อุดมไปด้วยโปรตีน และ กรดอะมิโนจำเป็นในการสร้างคอลลาเจนตามธรรมชาติ 


ผลิตภัณฑ์นม 

บางคนอาจจะเห็นการเปลี่ยนแปลงของผิวหนังตัวเองในเชิงบวกจากการดื่มนม แต่ในขณะเดียวกันคนอื่นๆ อาจจะไม่เห็นถึงความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับตัวของแต่ละบุคคล สำหรับบางคน เมื่อดื่มนมเข้าไปแล้วมันอาจจะไปเพิ่มการอักเสบในร่างกาย ซึ่งนำไปสู่ภาวะเครียดที่เกิดจากออกซิเดชัน ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการเกิดริ้วรอยก่อนวัยอันควร 

อาการที่มีผลิตภัณฑ์จากนมต่ำ อาจช่วยป้องกันผิวที่โดนแดดจากการเหี่ยวย่น แน่นอนว่าผลิตภัณฑ์นมนั้นเป็นแหล่งแคลเซียมที่ดี ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสุขภาพผิวโดยรวม แต่หากคุณไม่สามารถดื่มนม หรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของนมได้ คุณก็สามารถหาแคลเซียมจากแหล่งอื่นๆ กินได้ เช่น เมล็ดพืช ถั่ว อัลมอนด์ ผักใบเขียว และมะเดื่อ 


โซดาและกาแฟ 

โซดากับกาแฟนั้นสามารถส่งผลต่อผิวและการนอนหลับได้ เนื่องจากเครื่องดื่มทั้ง 2 ชนิดนี้มีคาเฟอีนที่สูง ซึ่งถ้าดื่มบ่อยๆ ตลอดทั้งวันก็อาจจะส่งผลต่อการนอนหลับได้ การนอนหลับที่ไม่ดีนั้นเชื่อมโยงกับสัญญาณแห่งวัยที่เพิ่มขึ้น รอยคล้ำรอบดวงตาที่มากขึ้น และริ้วรอย 

ถ้าหากคุณกังวลเกี่ยวกับปริมาณคาเฟอีนที่ดื่มเข้าไป ลองสังเกตตัวเองดูว่าดื่มมากขนาดไหน แล้วลองดูว่าสามารถลดปริมาณหรือเปลี่ยนไปดื่มอย่างอื่นแทนได้หรือไม่ เช่น ดื่มนมสีทอง (Golden Milk) เพราะขมิ้นที่เป็นส่วนประกอบหลักในนมสีทองนั้นอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ และเป็นหนึ่งในสารต่อต้านริ้วรอยที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด 


แอลกอฮอล์ 

แอลกอฮอล์สามารถก่อให้เกิดปัญหาผิวมากมายได้ เช่น รอยแดง อาการบวม สูญเสียคอลลาเจน และริ้วรอย เพราะมันสามารถทำให้ระดับสารอาหาร ความชุ่มชื้นและวิตามินลดลง ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลโดยตรงต่อการเกิดริ้วรอย ซึ่งวิตามินเอนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเจริญเติบโตของเซลล์ใหม่ และการสร้างคอลลาเจน จึงทำให้มั่นใจได้ว่าผิวจะยืดหยุ่นและปราศจากริ้วรอย 

หากคุณต้องการดื่มแอลกอฮอล์ ควรดื่มในปริมาณที่พอเหมาะ นั่นคือ 1 แก้วต่อวันสำหรับผู้หญิง และ 2 แก้วต่อวันสำหรับผู้ชาย และพยายามตรวจสอบให้แน่ใจว่าตัวเองนั้นได้รับน้ำที่เพียงพอ 


อาหารที่ปรุงด้วยความร้อนสูง 

น้ำมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนบางชนิดที่มีกรดไขมันโอเมก้า 6 สูง เช่น น้ำมันข้าวโพด หรือน้ำมันดอกทานตะวัน อาจทำให้เกิดอนุมูลอิสระที่เป็นอันตรายและสามารถเพิ่มระดับการอักเสบได้ หากคุณทอดหรือใช้ความร้อนสูงทุกวันสิ่งนี้อาจจะเพิ่มขึ้น แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าน้ำมันทั้งหมดจะอันตรายเสมอไป 

หากคุณเลือกใช้น้ำมันที่เป็นไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว จะช่วยให้ผิวชุ่มชื้นขึ้นได้ ดังนั้น ลองเปลี่ยนมาใช้น้ำมันมะกอกแทนน้ำมันพืชดู จะเป็นการดีกว่า เพราะน้ำมันมะกอกนั้นอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินอี  ไฟโตสเตอรอล (Phytosterols) และยังช่วยลดการอักเสบได้ด้วย 

เค้กข้าว (Rice Cakes) 

แม้เค้กข้าวมักถูกขนานนามว่าเป็นของว่างที่ดี แต่ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นสำหรับผิว อ้างอิงจากแหล่งที่มาที่เชื่อถือได้ เค้กข้าวนั้นสามารถทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงขึ้น เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น มันก็จะทำหน้าที่เป็นตัวเร่งอายุ ซึ่งอาจทำให้เกิดริ้วรอยขึ้นได้ 

ดังนั้น ถ้าหากคุณอยากกินขนมหวาน แต่อยากให้มันช่วยต่อต้านริ้วรอยด้วย ลองเอาพริกหยวกแดง พริกหวานแดง มาจิ้มกับฮัมมูส (Hummus) ดูก็ได้ เนื่องจากพริกทั้ง 2 ชนิดนี้ มีวิตามินซีสูง ให้ผลิตคอลลาเจนได้ดี หรือไม่อยากนั้นลองกินถั่วชิกพี (Chickpeas) ซึ่งเต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีต่อสุขภาพผิวก็ได้เช่นกัน 

ฟรุกโตส 

หลายคนอาจจะไม่เคนรู้ว่า ว่านหางจระเข้นั้นมีฟรุกโตสมากกว่าน้ำเชื่อม และข้าวโพดก็มีฟรุกโตสสูงเช่นกัน ซึ่งฟรุกโตสสามารถสลายคอลลาเจนได้เร็วกว่าน้ำตาลทั่วไป นั่นจึงทำให้เกิดกระบวนการเร่งการเกิดริ้วรอยได้ แต่กรดไลโปอิค (Lipoic Acid) อาจป้องกันผลกระทบที่ทำลายคอลลาเจนจากฟรุกโตสได้ แม้ว่านหางจระเข้จะเป็นสารให้ความหวานเพียงชนิดเดียวที่คุณมี ก็อย่าลืมใส่กะหล่ำดาว (Brussels Sprouts) ลงไปในอาหารด้วย เพราะกะหล่ำดาวมีกรดไลโปอิคสูง 

และนี่ก็คือ 10 อาหารที่กินแล้วทำให้ แก่วัย   

การกินอาหารให้สมดุลถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดของการดูแลผิว แต่ความจริงแล้วยังมีวิธีอีกมากมายที่สามารถยับยั้งนิ้วรอย และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ เช่น การเสริม การฉีด การรักษาเฉพาะที่ด้วย เรตินอล วิตามินซี การฟื้นฟูผิวหน้า และ การรักษาหลุมสิว (Microneedling) และการใช้กรดสำหรับผลัดเซลล์ผิว ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถช่วยป้องกันและทำให้ริ้วรอยเรียบเนียนขึ้นได้ นอกจากนั้นยังมีเทคนิคอื่น อย่างเช่น การฝังเข็มบนใบหน้า หรือออกกำลังกายบนใบหน้า คุณสามารถเลือกวิธีเหล่านี้ได้ตามความต้องการของคุณ 

อ้างอิง sanook 

อ่านบทความเพิ่มเติม




ไทยพลัสนิวส์ 10 วิธีลดน้ำตาลในร่างกาย

 ไทยพลัสนิวส์ 10 วิธีลดน้ำตาลในร่างกาย ลดเสี่ยงโรคอันตรายสารพัด

ไทยพลัสนิวส์ 10 วิธีลดน้ำตาลในร่างกาย รสหวานเป็นรสชาติที่อร่อยและคนทั่วไปมักติดความหวานในอาหารและเครื่องดื่มต่างๆ เพราะทำให้สมองแจ่มใสและลดความเครียด จนมักทำให้พวกเราทานน้ำตาลเกินความต้องการของร่างกาย และเมื่อน้ำตาลในเลือดลดต่ำลงจากปริมาณที่เคยบริโภคในแต่ละวันก็เริ่มส่งผลต่ออารมณ์ ทำให้หงุดหงิด และอ่อนเพลียง่าย สรุปแล้วน้ำตาลจึงให้ผลเสียแก่เราในระยะยาวมากกว่าผลดี



อันตรายจากภาวะติดน้ำตาล

  1. นายเเพทย์ อรรถสิทธิ์ ศักดิ์สุธาพร ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสารอาหารเพื่อการดูแลสุขภาพขั้นสูง และเวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ จากเฟซบุ๊กเพจ อย่าฝากชีวิตไว้กับหมอ ระบุถึงอันตรายจากภาวะการติดน้ำตาล ที่จะก่อให้เกิดโรคร้ายชัดเจนถึง 4 โรค ดังนี้ฟันผุ
  2. อ้วน
  3. เป็นโรคหัวใจ ความดัน 
  4. มะเร็ง

10 วิธีลดน้ำตาลในร่างกาย ลดเสี่ยงโรคอันตรายสารพัด

  1. เปลี่ยนเครื่องดื่ม

ตัดน้ำอัดลมทิ้งไป ลดเครื่องดื่มชูที่กำลังจะทานระหว่างออกกำลังกาย แล้วเปลี่ยนไปเป็นดื่มน้ำแร่แทน ลดกาแฟในยามเช้า ดื่มน้ำมะนาว ชาสมุนไพร อเมริกาโน หรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลแทน

  • ลดอาการติดน้ำตาลอย่างค่อยเป็นค่อยไป

เมื่อร่างกายคุณเสพน้ำตาลจนเคยชินแล้ว และถ้าคุณตัดขาดจากของหวานที่เคยชอบกินเช่น เค้ก ไอศกรีม คุกกี้ พาย โดนัท ทันที คุณจะรู้สึกเหมือนร่างกายไม่มีพลังงานและรู้สึกเฉื่อยชา ดังนั้นคุณอาจทดแทนด้วยการทานผลไม้ที่มีรสหวานไม่มาก เช่น แอปเปิ้ล ฝรั่ง และผลไม้ตระกูลเบอรี่  หรือกินอาหารเช้าเพื่อสุขภาพต่างๆ ซึ่งจะมีทั้งวิตามินและแร่ธาตุที่ช่วยให้ร่างกายคุณสดชื่นขึ้นอีกด้วย

  • อาหารไขมันสูงอาจดีต่อสุขภาพมากกว่าอาหารไขมันต่ำ

ถ้าพยายามจะลดน้ำตาล คุณควรเลือกทานอาหารที่มีไขมันดี เช่น อะโวคาโด มันม่วง มันหวาน ฟักทองนึ่ง เป็นต้น หรืออาหารที่มีคาโบไฮเดรตเชิงซ้อน จริงๆ แล้วไขมัน เป็น 1 ในสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ถ้าหากรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมจะอยู่ท้องเป็นเวลานาน หลายๆ ครั้งในอาหารและเครื่องดื่มหลายชนิดที่มีฉลากปิดว่า fat-free เมื่อนำมาทดสอบแล้วกลับพบว่า มีปริมาณน้ำตาลสูงกว่าอาหารที่มีไขมันดีเสียอีก 

  • รับประทานอาหารออร์แกนิก หรืออาหารที่ไม่ผ่านการแปรรูป

อาหารปรุงสำเร็จ หรืออาหารตามร้านอาหาร อาจจะเต็มไปด้วย เกลือ น้ำตาล และผงชูรส ในปริมาณที่มาก ทำให้เราไม่อาจควบคุมได้ อาหารที่ผ่านการแปรรูปมักจะแต่งสี กลิ่น และสารกันบูด และหากคุณสามารถทำอาหารกินเองที่บ้าน นอกจากจะประหยัดค่าใช้จ่ายแล้วยังช่วยให้คุณสามารถควบคุมปริมาณน้ำตาลและเกลือในอาหารได้



  • อย่าประมาทกับคำว่า “ขนมเพื่อสุขภาพ”

รู้หรือไม่ว่าขนมที่ทำจากธัญพืช เช่น กราโนลาแท่ง โปรตีนแท่ง และผลไม้อบแห้ง ในบางครั้งก็มีปริมาณน้ำตาลสูงพอๆ กับการกินช็อคโกแลต 1 แท่ง

  • ลดอาหารเช้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาล

พวกซีเรียลที่เคลือบน้ำตาล แพนเค้กราดน้ำผึ้ง พาย วาฟเฟิล ขนมปังกับแยม ครัวซอง และมัฟฟิน เป็นอาหารสุดโปรดที่ผู้คนชอบรับประทานร่วมกับกาแฟในยามเช้า แต่ทว่าอาหารเช้าเหล่านี้เป็นเหตุให้ระดับน้ำตาลในเลือดของเราสูง ดังนั้น อาหารเช้าทางเลือกใหม่ที่ควรเปลี่ยนเพื่อสุขภาพได้แก่ กรีกโยเกิร์ต ไข่ต้ม ไข่คน ไข่ดาวน้ำ หรือไข่ที่ทอดบนกะทะเทฟล่อนแบบไม่ใช้น้ำมัน หรือกินอะโวคาโด ที่มีพลังงานสูง มีไขมันที่ดี และมีน้ำตาลต่ำก็ได้

  • ส่วนผสมข้างฉลากที่ควรหลีกเลี่ยง

ไม่ควรเลือกอาหารอย่างฉาบฉวยในซุปเปอร์มาเก็ตเพียงแค่เห็นคำว่า “low sugar” หรือ “no sugar” แต่คุณจะต้องสังเกตส่วนผสมเหล่านี้ ซึ่งอันตรายเท่าๆกับน้ำตาล แต่ใช้คำที่ยากต่อการสังเกต เช่น

  • น้ำเชื่อมข้าวโพด  (High-fructose corn syrup)
  • มัลโตส (Maltose)
  • เด็คโตรส (Dextrose)
  • น้ำเชื่อมข้าว (Rice syrup)
  • คาราเมล (Caramel)
  • สารให้ความหวานแทนน้ำตาล (Invert sugar)
  • น้ำเชื่อม (Molasses)
  • สิ่งที่ให้ความหวานตามธรรมชาติ

ภาวะเสพติดน้ำตาล ไม่ต่างจากความรู้สึกของคนติดแอลกอฮอล์ เราถึงต้องใช้ความอดทนสูงมากในช่วงเวลาที่ขาดน้ำตาล เพื่อบรรเทาความรู้สึกนี้ ลองใช้ความหวานตามธรรมชาติในการทำเครื่องดื่ม หรือปรุงอาหารแทน การลดความหวานบางครั้งทำให้รู้สึกหงุดหงิด หิว กระวนกระวาย จึงไม่ควรลดแบบหักโหม คุณสามารถรับประทานอาหารที่มีรสหวานได้ตามเดิม เพียงแค่เปลี่ยนมาใช้ สารให้ความหวานอื่นๆ แทนได้ 


  • อย่าเก็บขนมหวานไว้ในบ้าน

ในยามที่ความอยากน้ำตาลเพิ่มขึ้น สมองของเราที่เคยชินกับการรับปริมาณน้ำตาลทุกวันจะสั่งการให้คุณรีบไปหาอะไรหวานๆ มากิน ดังนั้นอย่าซื้อพวกช็อคโกแลต ไอศกรีม หรือลูกอมมาเก็บไว้ในบ้านเพราะถ้าเห็นเข้าก็จะโดนความหิวเข้าจู่โจมทันที และถ้าคุณทนไม่ไหวจริงๆ ก็อาจจะลองหาขนมที่มีความหวานต่ำ หรือขนมที่ไม่มีแคลอรี่มากินแทนไปก่อน

  1. นอนหลับให้เพียงพอ

การนอนน้อย หรืออดนอน ส่งผลต่อสุขภาพของคุณ ทำให้เป็นโรคซึมเศร้า และภูมิต้านทานต่อโรคภัยต่ำ สมาธิสั้น ประสิทธิภาพในการทำงานจึงลดลง แถมกลุ่มคนที่อดนอนยังมีความรู้สึกหิว กระหาย และอยากกินของหวานมากกว่ากลุ่มที่นอนเพียงพอ ดังนั้นการเข้านอนเร็ว และนอนหลับให้เพียงพอจะช่วยให้คุณลดความรู้สึกอยากกินของหวาน และช่วยให้สมองลดความต้องการน้ำตาลลงได้

การลดระดับน้ำตาลในเลือดเป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะน้ำตาลเป็นอาหารที่ส่งผลให้เกิดโรคร้ายต่างๆ ตามมา ทั้งมะเร็ง เบาหวาน โรคอ้วน แต่การไม่รับประทานน้ำตาลเลย ไม่ใช่ทางเลือกที่ถูกต้อง ในทางที่ดีเราควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และควบคุมปริมาณน้ำตาลให้อยู่ในระดับพอดีจะเป็นเรื่องที่ดีต่อสุขภาพมากกว่า

อ้างอิง : อย่าฝากชีวิตไว้กับหมอ

อ่านบทความเพิ่มเติม





ไทยพลัสนิวส์ หากรักสุขภาพ มื้อเย็นห้ามทำ 7 ข้อต่อไปนี้

ไทยพลัสนิวส์ หากรักสุขภาพ มื้อเย็นห้ามทำ 7 ข้อต่อไปนี้ เมื่อคุณต้องการลดน้ำหนัก หรือ ใช้ชีวิตที่มีสุขภาพดี และ รู้สึกกระตือรือร้น อาหารมื้อเย็น ที่มีประโยชน์ก็เป็นส่วนสำคัญของแผน อย่างไรก็ตามอาจมีข้อผิดพลาดหลายอย่างที่คุณเผลอ หรือ มักจะทำในมื้อเย็นเสมอ และ นี่คือข้อผิดพลาดในมื้อเย็น 





ไทยพลัสนิวส์ หากรักสุขภาพ มื้อเย็นห้ามทำ 7 ข้อต่อไปนี้

หากรักสุขภาพ มื้อเย็นห้ามทำ 7 ข้อต่อไปนี้

1.วางแผนเรื่องอาหารเป็นนาทีสุดท้าย 

 การเลือกอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการที่ดี ในตอนท้ายของวันเมื่อคุณเหนื่อยล้า อาจเป็นเรื่องยาก จัดระเบียบแผนการรับประทานอาหาร ในช่วงสุดสัปดาห์ หรือ ในวันที่คุณมีเวลามากขึ้น เพื่อให้การเตรียมอาหารดำเนินไปอย่างราบรื่น ในระหว่างสัปดาห์ เมื่อคุณรู้แล้วว่าคุณจะเตรียมอะไรและเตรียมอาหารบางส่วนไว้ล่วงหน้า คุณก็มีแนวโน้มที่จะเลือกอาหารจานด่วนหรืออาหารแปรรูปน้อยลง 


2.เลือกของหวานเป็นอาหารหลัก 

คุณรู้หรือไม่ว่าการบริโภคน้ำตาลในปริมาณมากอาจส่งผลเสีย ต่อคุณภาพการนอนหลับของคุณได้ ? เมื่อคุณได้รับน้ำตาลในปริมาณมาก จะมีการเพิ่มขึ้น และ ลดลง ของน้ำตาลในเลือด ในระหว่างคืน ซึ่งมักทำให้คุณตื่นขึ้น แม้ว่าคุณจะไม่ตื่นขึ้น แต่สิ่งนี้อาจทำให้คุณออกจากการนอนหลับลึก ทำให้คุณรู้สึกเหนื่อยล้าในวันถัดไป 


3.ทานอาหารมื้อเย็นเป็นมื้อใหญ่ที่สุดของวัน 

หากคุณกำลังพยายามลดน้ำหนัก การรับประทานอาหารมื้อใหญ่ ในช่วงต้นวันอาจเป็นประโยชน์ หากคุณรับประทานอาหารมื้อใหญ่ในมื้อกลางวัน คุณจะลดน้ำหนักได้ง่ายขึ้น แม้ว่าปริมาณอาหารจะเท่ากันก็ตาม นอกจากนี้ การรับประทานอาหารในช่วงต้นวันสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ที่ทำให้คุณรู้สึกอิ่มนานขึ้น ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยง ในการรับประทานอาหารมากเกินไปอีกด้วย 


4.ดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป 

คุณอาจพบว่าคุณหลับไปได้ง่ายขึ้นหลัง จากดื่มไปสองสามแก้ว แต่แอลกอฮอล์ ส่งผลต่อการนอนหลับของคุณตลอดทั้งคืน แอลกอฮอล์ในระบบของคุณ จะรบกวนการไหลเวียนตามธรรมชาติผ่านขั้นตอนต่าง ๆ ของการนอนหลับมักส่งผลให้การนอนหลับเบา และ กระสับกระส่ายมากขึ้น ในตอนเช้า ทำให้คุณรู้สึกเหนื่อยล้าในวันถัดไป 


5.ดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนในมื้อเย็น 

คาเฟอีนกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางของร่างกาย เพิ่มความตื่นตัว และ ลดความเมื่อยล้า นอกจากนี้ยังบล็อกประสิทธิภาพของอะดีโนซีน ซึ่งเป็นสารเคมีที่ช่วยให้คุณรู้สึกง่วงนอน และ ควบคุมวงจร การนอนหลับ-ตื่นนอนของคุณ 



6.รับประทานอาหารขณะดูทีวี หรือคอมพิวเตอร์ 

การรับประทานอาหารมื้อค่ำขณะดูทีวี หรือ ท่องเว็บอาจนำไปสู่การรับประทานอาหารโดยไม่ตั้งใจ เมื่อคุณไม่ได้สนใจว่าคุณบริโภคอะไร คุณมีแนวโน้มที่จะรู้สึกอิ่มน้อยลง คนที่รับประทานอาหาร ขณะที่พวกเขากำลังไขว้เขวมีแนวโน้มที่จะไม่รู้ตัวว่าพวกเขากินอะไรไปบ้างในช่วงเวลานั้น ซึ่งนำไปสู่การรับประทานอาหารมากเกินไป 


7.รับประทานอาหารเย็นใกล้เวลาเข้านอนเกินไป 

มื้อดึกอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ซึ่งร่างกายของคุณ ไม่สามารถรับมือได้เมื่อรู้สึกว่าคุณควรจะนอนหลับ เมื่อเวลาผ่านไป สิ่งนี้อาจนำไปสู่น้ำหนักสะสม ภาวะดื้อต่ออินซูลิน น้ำหนักเพิ่มขึ้น และความผิดปกติของการเผาผลาญ นอกจากนี้ กระเพาะอาหารของคุณใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมงในการย่อยอาหารหลังรับประทานอาหาร (และโดยทั่วไปจะช้าลงตามอายุ) ดังนั้นการรับประทานอาหารดึกจึงเป็นสาเหตุที่พบบ่อยของกรดไหลย้อน 

อ้างอิง sanook

อ่านบทความเพิ่มเติม






ไทยพลัสนิวส์ 6 เมนูอาหารกระตุ้นน้ำนมที่คุณแม่หลังคลอดควรทาน

 ไทยพลัสนิวส์ 6 เมนูอาหารกระตุ้นน้ำนมที่คุณแม่หลังคลอดควรทาน

ไทยพลัสนิวส์ 6 เมนูอาหารกระตุ้นน้ำนมที่คุณแม่หลังคลอดควรทาน หนึ่งในเรื่องที่คุณแม่หลังคลอดให้ความสำคัญ และ มักจะเป็นเรื่องที่สร้างความกังวลใจมากที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องการมีน้ำนมที่เพียงพอ ดังนั้นคุณแม่จะต้องให้ความสำคัญที่การกินอาหาร ในแต่ละวัน วันนี้เราได้รวม 6 เมนูอาหารสำหรับคุณแม่หลังคลอด ซึ่งเป็นเมนูที่ช่วยทำให้น้ำนมไหลเวียนดี มาแชร์ให้คุณแม่ได้ทราบกันค่ะ




6 เมนูอาหารกระตุ้นน้ำนมที่คุณแม่หลังคลอดควรทาน

1.ซุปฟักทอง 

ซุปฟักทอง เป็นเมนูที่มีกลิ่นหอม ให้รสชาติหวานมัน และเค็มนิดๆ ถือเป็นเมนูที่ให้รสชาติกลมกล่อม อีกทั้งยังเป็นเมนูที่ช่วยรักษาร่างกาย และ ช่วยบำรุงน้ำนมของคุณแม่ ให้มีคุณภาพ และยังเป็นเมนูที่ช่วยแก้ปัญหาน้ำนมไม่ไหลได้อีกด้วย ทั้งนี้คุณแม่จะได้รับประโยชน์จากการกินเมนูซุปฟักทอง โดยได้รับสารอาหารจำพวกเบต้าแคโรทีน โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส แคลเซียม และ วิตามินหลากหลายชนิด ซึ่งสารอาหารเหล่านี้ มีฤทธิ์ช่วยกระตุ้นการหลั่งของน้ำนม และ ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำนมของคุณแม่ ให้เพียงพอต่อความต้องการของลูกน้อย 

2.แกงเลียงหัวปลี 

เมนูแกงเลียงหัวปลีเป็นเมนูที่ช่วยบำรุงน้ำนมได้อย่างดีเลิศ โดยเฉพาะหัวปลีซึ่งเป็นอาหารที่อุดมด้วยแคลเซียม ฟอสฟอรัส สังกะสี เหล็ก โปรตีน และวิตามินหลากหลายชนิด ซึ่งสารอาหารเหล่านี้ มีส่วนช่วยกระตุ้นฮอร์โมน โปรแลกติน จึงทำให้ต่อมน้ำนม สามารถผลิตน้ำนมที่มีคุณภาพออกมา และเป็นน้ำนมที่มีคุณค่าทางโภชนาการมากขึ้นกว่าเดิม นอกจากนี้หัวปลี ยังช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนเลือด จึงทำให้คุณแม่มีเลือดลมไหลเวียนดีขึ้นอีกด้วย 

3.อกไก่ย่างอัลมอนด์ 

อกไก่ย่างอัลมอนด์ เป็นเมนูที่ให้สารอาหาร ประเภทโปรตีน แมกนีเซียม โพแทสเซียม วิตามิน และแร่ธาตุหลากหลายชนิด โดยสารอาหารเหล่านี้ จะมีส่วนช่วยขับน้ำนม และทำให้ต่อมน้ำนมผลิตน้ำนมออกมาได้ในปริมาณมาก และ เป็นน้ำนมที่มีคุณภาพดี เมื่อลูกน้อยกินเข้าไป ก็จะช่วยให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง พร้อมทั้งช่วยเสริมสร้างพัฒนาการ ทางด้านสมอง และ ร่างกายให้มีการเจริญเติบโตสมวัย 

4.สลัดถั่วลูกไก่ 

เมนูสลัดถั่วลูกไก่ เป็นเมนูที่กินได้ง่าย และ ให้ประโยชน์กับคุณแม่ได้หลากหลาย โดยเมนูนี้ถือเป็นเมนูที่เป็นแหล่งรวมของสารอาหารที่สำคัญต่อร่างกาย เช่น โปรตีน แมกนีเซียม แคลเซียม เหล็ก ใยอาหาร และวิตามินหลากหลายชนิด ซึ่งสารอาหารเหล่านี้มีส่วนช่วยบำรุงน้ำนม และ กระตุ้นให้ต่อมน้ำนมผลิตน้ำนมออกมาได้ในปริมาณมาก ที่สำคัญถั่วลูกไก่ยังมีความสามารถ ในการเสริมระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยลดการอักเสบ ของเซลล์ภายในร่างกาย ช่วยปรับสมดุลน้ำตาลในเลือด และ ช่วยลดคอเลสเตอรอล ในร่างกายของคุณแม่อีกด้วย 

5.ข้าวหน้าปลาแซลมอนย่างเทอริยากิ 

ข้าวหน้าปลาแซลมอนย่างเทอริยากิ เป็นเมนูที่แนะนำ สำหรับคุณแม่หลังคลอด โดยเมนูนี้ให้สารอาหารที่หลากหลาย เช่น กรดไขมันดี โปรตีน แคลเซียม โพแทสเซียม วิตามินบี6 วิตามินบี12 วิตามินดี และแมกนีเซียม ซึ่งเมนูนี้ถือเป็นเมนู ที่ช่วยเพิ่มสารอาหาร ในน้ำนมคุณแม่ ทำให้ลูกน้อยของคุณแม่ ได้รับสารอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต ได้อย่างเพียงพอ 

6.โฮลเกรนแซนวิช 

เมนูโฮลเกรนแซนวิชเป็นเมนู ที่ช่วยบำรุงสุขภาพคุณแม่ตั้งครรภ์ และ เป็นเมนูเรียกน้ำนม เนื่องจากโฮลเกรน เป็นธัญพืชที่ไม่ขัดสี และ เป็นอาหารที่อุดมด้วยกรดโฟลิก สังกะสี ธาตุเหล็ก แคลเซียม ใยอาหาร วิตามินบี และวิตามินซี โดยสารอาหารเหล่านี้ มีส่วนช่วยเพิ่มปริมาณน้ำนม และ ให้สารอาหารในน้ำนมของคุณแม่ได้ดีมาก ๆ 



และนี่ก็คือ 6 เมนูอาหารกระตุ้นน้ำนมที่คุณแม่หลังคลอดควรทาน

 สำหรับคุณแม่หลังคลอด ที่ต้องการบำรุงน้ำนมในช่วงที่กำลังให้นมลูก แนะนำให้ลองทำอาหาร 6 เมนูนี้กินเพื่อบำรุงร่างกาย ในช่วงหลังคลอดกันดูค่ะ เชื่อว่าจะช่วยให้คุณแม่ ได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์อย่างมากเลยทีเดียว   

อ้างอิง sanook

อ่านบทความเพิ่มเติม




ไทยพลัสนิวส์ กินเค็มเกินวันละ 1 ช้อนชา เสี่ยงโรค

 ไทยพลัสนิวส์ กินเค็มเกินวันละ 1 ช้อนชา เสี่ยงโรค

ไทยพลัสนิวส์ กินเค็มเกินวันละ 1 ช้อนชา เสี่ยงโรค กรมการแพทย์ โดยสถาบันโรคทรวงอก เตือน การบริโภคโซเดียม ในปริมาณมากเกินกว่า 2,400 มิลลิกรัม หรือมากกว่า 1 ช้อนชาต่อวัน จะทำให้มีการเพิ่มขึ้นของปริมาณน้ำ ในร่างกายทำให้มีความดันโลหิต สูงขึ้นส่งผลให้ไต และ หัวใจทำงานหนัก และ อาจจะส่งผลในระยะยาว ทำให้เกิดโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และ โรคไต แทรกซ้อนตามมา พร้อมแนะวิธีลดปริมาณโซเดียม ในชีวิตประจำวัน เพื่อไม่ให้หัวใจและ ไต ทำงานหนัก




กินเค็มเกินวันละ 1 ช้อนชา เสี่ยงโรค ความดันสูง-โรคไต-หัวใจ 

โซเดียมไม่เกิน 1 ช้อนชา ต่อวัน เสี่ยงโรค   

อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า โซเดียมเป็นส่วนประกอบของเกลือ ซึ่งเกลือ 1 กรัม จะมีโซเดียมประมาณ 400 มิลลิกรัม โดยร่างกาย มีความต้องการโซเดียมประมาณ 2,400 มิลลิกรัมต่อวัน  

โซเดียม พบได้ในอาหารอะไรบ้าง ? 

  • เกลือโซเดียม หรือ เกลือแกง 
  • เครื่องปรุงที่ให้รสเค็ม เช่น น้ำปลา ซอสถั่วเหลือง ซีอิ๊วขาว ซีอิ๊วดำ เต้าเจี้ยว ซอสมะเขือเทศ ฯลฯ  
  • อาหารประเภทหมักดอง เช่น ผักดอง ผลไม้ดอง ไข่เค็ม ปลาร้า ปลาเค็ม เนื้อเค็ม เป็นต้น  
  • ขนมอบกรอบ ผงชูรส มีเกลือโซเดียมแอบแฝงจำนวนมาก 

อันตรายจากการบริโภค โซเดียมเกิน 1 ช้อนชาต่อวัน 

หากรับประทานอาหารที่เค็มจัดที่มีเกลือ โซเดียม หรือ เกลือแกงมากกว่า 6 กรัมต่อวัน หรือมากกว่า 1 ช้อนชาขึ้นไป จะมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดความดัน โลหิตสูงซึ่งในระยะยาวมีผล ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจหนาตัวขึ้นมีโอกาส เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และ ไตเสื่อม 

ผู้อำนวยการสถาบันโรคทรวงอก กรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในแต่ละวันไม่ควรบริโภค โซเดียมเกินความต้องการของร่างกาย ซึ่งถ้าได้รับมาก ทำให้มีการคั่งของสารน้ำ ในร่างกาย ส่งผลให้ความดันโลหิตสูงขึ้น ทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น และ ความดัน ในหลอดเลือดฝอย ของหน่วยกรอง ในไตสูงขึ้น ทำให้ไตทำงานหนักขึ้น นอกจากนี้ ยังทำให้เกิดภาวะบวมน้ำ เพิ่มขึ้นด้วย ดังนั้นการที่ร่างกาย ได้รับโซเดียมในปริมาณที่พอเพียงไม่มากไม่น้อยจนเกินไป จะเกิดผลดีต่อการทำงานของควบคุม ความดันโลหิต ทำให้ลดความเสี่ยง ในการเกิดโรคแทรกซ้อนที่จะตามมา  

 


วิธีลดปริมาณการบริโภค โซเดียม 
  • หลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารรสจัด และ อาหารหมักดอง  
  • ชิมอาหารทุกครั้ง ก่อนเติมเครื่องปรุง 
  • เลือกบริโภคอาหารสด หรือ อาหาร ที่ผ่านการแปรรูปน้อยที่สุด  
  • หลีกเลี่ยงอาหารสำเร็จรูป และ ขนมขบเคี้ยว ที่มีเครื่องปรุงรสปริมาณมาก  
  • ลดความถี่ของการบริโภคอาหาร ที่ต้องมีเครื่องปรุงน้ำจิ้ม และ ลดปริมาณน้ำจิ้ม ที่บริโภค 
  • ทดลองปรุงอาหาร โดยใช้ปริมาณเกลือ น้ำปลา ตลอดจนเครื่องปรุงรสอื่น ๆ เพียงครึ่งหนึ่งที่กำหนดไว้ในสูตรปรุงอาหาร ถ้ารสชาติไม่อร่อยจริง ๆ จึงค่อยเพิ่มปริมาณ ของเครื่องปรุงรส  
  • ควรปลูกฝังนิสัย ให้บุตรหลานรับประทานอาหารรสจืด โดยไม่เติมเกลือ ซีอิ๊วขาว น้ำปลา ตลอดจนซอสปรุงรสในอาหารเด็ก และ ทารก  
  • ควรบริโภคอาหาร ที่มีปริมาณโปแตสเซียมสูง เช่น ผักใบเขียว และ ผลไม้ จะสามารถช่วยลดความดันโลหิตได้ 

อ้างอิง sanook

อ่านบทความเพิ่มเติม






วันเสาร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2566

ไทยพลัสนิวส์ อาหารส่งผลอะไรกับประจำเดือน

 ไทยพลัสนิวส์ พาไปดู อาหารส่งผลอะไรกับประจำเดือน

ไทยพลัสนิวส์ พาไปดู อาหารส่งผลอะไรกับประจำเดือน โดย ประจำเดือนส่งผลต่อร่างกายอย่างไร แล้วอาหารที่เราทานเข้าไปนั้นส่งผลต่อประจำเดือนอย่างไร




อาหารส่งผลอะไรกับประจำเดือน

ประจำเดือนส่งผลต่อร่างกายอย่างไร

เสียเลือด อ่อนเพลีย ขาดธาตุเหล็ก เวียนศีรษะง่าย

มดลูก มีการบีบตัว อาจทำให้ปวดท้อง (ปวดประจำเดือน)

ช่วงก่อนประจำเดือนมา ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน

อาการทางใจ/อารมณ์ อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย

อาการทางกาย เช่น มีท้องอืด ท้องเสีย คลื่นไส้

อาหารส่งผลต่อประจำเดือนอย่างไร



อาหารไม่มีผลโดยตรงกับมดลูกเพราะอาหารที่ทานนั้นผ่านลงสู่กระเพาะอาหารและลำไส้ ซึ่งไม่ได้เชื่อมต่อกับมดลูก แต่อาหาร บางอย่างอาจมีผลต่ออาการต่าง ๆ ที่เกิดช่วงก่อนและขณะมีประจำเดือนได้ ดังนั้นจึงควรเลือกอาหารที่เหมาะสมเพื่อลดอาการเหล่านั้น

อาหารที่แนะนำช่วงมีประจำเดือน

ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ

ปริมาณน้ำที่แนะนำอย่างน้อย 2.7 ลิตร ต่อวัน

ช่วยทดแทนการเสียเลือด ช่วยให้ลดอาการปวด/มึนศีรษะ

ช่วยลดอาการท้องอืด

อาหารที่มีธาตุเหล็กสูง (ได้แก่ ปลา ไก่ ผักใบเขียว เช่น ผักโขม คะน้า) ช่วยทดแทนการเสียธาตุเหล็กจากการเสียเลือด

อาหารโปรตีนสูงและอาหารกากใยสูง ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ให้พลังงานคงที่ ไม่หิวง่าย

โอเมกา3 (Omega-3 / Fish oil) ช่วยลดอาการปวดประจำเดือน ช่วยลดอารมณ์แปรปรวน ซึมเศร้าหรือเหวี่ยง

สมุนไพรบางชนิด ได้แก่ ขิง อบเชย ช่วยลดอาการปวดประจำเดือน ได้ อย่างไรก็ตามไม่ควรรับประทานมากเกินไป

อาหารที่มีวิตามินและเกลือแร่

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงช่วงมีประจำเดือน

อาหารเค็ม / เกลือ

การกินเกลือหรืออาหารเค็มมากเกินไปทำให้น้ำในร่างกายคั่ง ตัวบวม และท้องอืดได้

ของหวาน / อาหารน้ำตาลสูง

หากทานมากเกินไปจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดแกว่งและทำให้อารมณ์แปรปรวน

คาเฟอีน / ชา / กาแฟ

คาเฟอีนทำให้น้ำในร่างกายคั่ง ตัวบวม และอาจทำให้ปวดศีรษะมากขึ้น แต่การขาดคาเฟอีนอาจทำให้ปวดศีรษะได้เช่นกัน ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องงดคาเฟอีน เพียงแต่ไม่ควรดื่มมากเกินไป



แอลกอฮอล์

แอลกอฮอล์ทำให้ร่างกายขาดน้ำและอาจทำให้ปวดศีรษะและท้องอืดตามมาได้

อาหารรสจัด / เผ็ด

อาหารรสเผ็ด ระคายเคืองกระเพาะอาหาร ไม่ได้มีผลต่อมดลูกโดยตรง แต่อาจทำให้ร้อนท้อง ท้องเสีย คลื่นไส้ ซึ่งส่งผลต่ออาการช่วงมีประจำเดือนได้

เนื้อสัตว์ / เนื้อแดง เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู

มีธาตุเหล็ก ช่วยทดแทนเลือดที่เสียไป แต่มีสารโพรสตาแกลนดิน (prostaglandins) มากเช่นกันซึ่งอาจทำให้มดลูกบีบตัวและปวดประจำเดือนได้

ความเชื่อผิด ๆ เรื่องอาหารกับประจำเดือน

ไม่ควรทานน้ำเย็นหรือน้ำแข็งช่วงมีประจำเดือน

ความเชื่อ: ไม่ควรทานน้ำเย็นหรือน้ำแข็งช่วงมีประจำเดือน บางคนเชื่อว่าเพราะทำให้ปวดประจำเดือนมากขึ้นและจะขับเลือดออกมาได้ไม่หมด

ความจริง: น้ำเย็นหรือน้ำแข็งไม่ส่งผลใด ๆ ต่อประจำเดือน เพราะประจำเดือนคือเลือดที่ออกมาจากมดลูก อาการปวดประจำเดือนคืออาการปวดท้องอันเนื่องมาจากการบีบตัวของมดลูก เมื่อดื่มน้ำเย็น ร่างกายจะมีระบบปรับอุณหภูมิของอาหารที่ทานเข้าไป และน้ำที่เข้าสู่ร่างกายนั้นจะผ่านกระเพาะอาหารและลำไส้ ไม่เกี่ยวกับมดลูกแต่อย่างใด ซึ่งสองระบบนี้แยกจากกันชัดเจน ดังนั้นน้ำเย็นหรือน้ำแข็งจึงไม่ทำให้ปวดท้องประจำเดือนและไม่ทำให้ประจำเดือนเป็นลิ่ม อย่างไรก็ตามลักษณะร่างกายของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน



ไม่ควรดื่มน้ำมะพร้าวช่วงมีประจำเดือน

ความเชื่อ: คนไทยมีความเชื่อว่าห้ามดื่มน้ำมะพร้าวระหว่างที่มีประจำเดือน บ้างก็ว่าจะทำให้เลือดมีกลิ่นคาวขึ้น บ้างก็ว่าทำให้ประจำเดือนผิดปกติ หรือทำให้ปวดประจำเดือนมากขึ้น

ความจริง: ไม่มีข้อห้ามในการดื่มน้ำมะพร้าวแต่ไม่แนะนำดื่มมากเกินไป น้ำมะพร้าวมีไฟโตเอสโตรเจน (Phytoestrogen) ซึ่งเป็นสารประกอบจากธรรมชาติที่มีสูตรโครงสร้างคล้ายฮอร์โมนเพศหญิง

น้ำมะพร้าวทำให้ประจำเดือนผิดปกติและทำให้ปวดประจำเดือน

ความเชื่อ: การดื่มน้ำมะพร้าวจะทำให้ประจำเดือนผิดปกติและทำให้ปวดประจำเดือน

ความจริง: กลไกการปวดประจำเดือนเกิดจากการบีบตัวของมดลูกซึ่งเกี่ยวกับสารโพรสตาแกลนดิน (prostaglandins) ในน้ำมะพร้าวมีฮอร์โมนเอสโตรเจนสูง แม้จะไม่ใช่สาเหตุหลักของอาการ แต่อาจส่งผลต่อการบีบตัวของมดลูกและรบกวนปริมาณประจำเดือน อย่างไรก็ตามหากไม่ดื่มมากจนเกินไป น้ำมะพร้าวนั้นมีประโยชน์ต่อร่างกายเพราะอุดมไปด้วยเกลือแร่ที่จำเป็นต่อร่างกาย

สรุป เรื่องอาหารกับประจำเดือน ในช่วงมีประจำเดือนแนะนำให้เลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ สมดุล ครบห้าหมู่ และดื่มน้ำให้เพียงพอ

อ้างอิงจาก medparkhospital

อ่านบทความเพิ่มเติม




ไทยพลัสนิวส์ “เบื่ออาหาร”

 ไทยพลัสนิวส์ “เบื่ออาหาร” อาจเป็นสัญญาณอันตรายโรคร้ายที่คาดไม่ถึง

ไทยพลัสนิวส์ ภาวะ เบื่ออาหาร (Loss of Appetite) เป็นอาการที่ไม่รู้สึกอยากอาหาร ความต้องการกินอาหารลดลง ในบางครั้งอาจจะรู้สึกหิวแต่กลับไม่รู้สึกอยากกินอะไร อาการนี้เกิดได้ทั้งจากปัญหาสุขภาพกายและสุขภาพจิต โดยเฉพาะภาวะการเบื่ออาหารอย่างรุนแรงโดยที่ไม่ได้เกิดจากการเบื่ออาหารที่รู้สึกว่ากินซ้ำ กินบ่อย หรือจำเจจนไม่อยากกิน




อย่างไรก็ตาม อาการเบื่ออาหารเป็นอาการที่ไม่ควรมองข้ามหรือไม่ใส่ใจ เพราะนี่อาจไม่ใช่เรื่องเล็ก และไม่ใช่อาการผิดปกติทั่วไป ถ้าจู่ ๆ คุณเกิดเบื่ออาหารทั้งที่ปกติเป็นคนชอบกิน


ลักษณะอาการของการเบื่ออาหาร

อาการเบื่ออาหารนี้จะทำให้ผู้ที่ประสบปัญหามีความรู้สึกไม่เจริญอาหาร ไม่อยากกินอาหาร อยากอาหารน้อยลง รวมถึงปฏิเสธอาหารที่เคยชอบ หรือปฏิเสธการกินอาหารในปริมาณปกติ ในบางครั้ง ผู้ที่ประสบปัญหานี้สามารถอยู่ได้ทั้งวันโดยที่ไม่กินอะไรเลยแม้ว่าจะรู้สึกหิวก็ตาม สิ่งที่ตามมาก็คือ น้ำหนักตัวลดลง

ส่วนใหญ่แล้วผู้ที่รู้สึกเบื่ออาหารแบบที่ผิดปกติก็มักจะเกิดอาการอื่นร่วมด้วย เช่น รู้สึกคลื่นไส้ตลอดเวลา ท้องผูก ท้องอืด อ่อนเพลีย นอนไม่หลับ เบื่อหน่ายกับสิ่งต่าง ๆ รอบตัว หรือไม่มีแรงจูงใจในการดำเนินชีวิต รู้สึกมีความทุกข์กับชีวิต หรืออาจรุนแรงจนถึงขั้นมีความคิดอยากฆ่าตัวตาย

โดยทั่วไป หากสาเหตุเกิดจากความเครียด อาการก็มักจะหายได้เองใน 2-3 วัน เต็มที่คือ 1 สัปดาห์ หรือภาวะเครียดดีขึ้น แต่ถ้าหากเริ่มมีอาการรุนแรงลักษณะนี้ต้องรีบไปพบแพทย์ เพราะอาจมีสาเหตุมาจากปัญหาสุขภาพกายที่เป็นอาการป่วยจากโรคภัยไข้เจ็บ อาทิ

ไม่สามารถพยายามกินอาหารได้เลยในช่วงเวลามากกว่า 3 วัน และรู้สึกคลื่นไส้ตลอดเวลา

ไม่สามารถดื่มน้ำหรือแม้แต่พยายามกินของเหลวได้

อาเจียนมากกว่า 1 วัน

น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วโดยไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด

รู้สึกเจ็บขณะพยายามกินอาหาร

ไม่รู้สึกอยากขับถ่าย ปัสสาวะน้อย มีกลิ่นแรง และมีสีเข้ม รวมถึงมีอาการท้องผูก

นอกจากนี้ ยังอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้หากไม่ได้รับการรักษาให้หาย ก็จะทำให้มีอาการรุนแรงขึ้น เช่น มีอาการอ่อนเพลีย น้ำหนักตัวลดลง หัวใจเต้นผิดจังหวะ เป็นไข้ และขาดสารอาหาร


ไม่รู้จะกินอะไร “เบื่ออาหาร”

ปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการเบื่ออาหาร

ผู้ที่เกิดอาการเบื่ออาหารจะกลับมากินอาหารได้ตามปกติเมื่อมีการเปลี่ยนอาหารที่กิน หรือเปลี่ยนบรรยากาศในการกินอาหาร แต่หากเริ่มแน่ใจว่าอาการเบื่อที่ว่าไม่ได้เกิดขึ้นจากการกินอาหารเดิม ๆ จนรู้สึกเบื่อ นั่นแปลว่ามีสาเหตุมาจากสุขภาพ โดยอาการเบื่ออาหารเกิดขึ้นได้จากปัจจัยหลัก ๆ 3 อย่าง

ปัญหาสุขภาพกาย เป็นอาการป่วยที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ซึ่งมักจะเกิดมาจากการติดเชื้อได้ทั้งเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย จึงมักจะมีอาการป่วยแบบชั่วคราวร่วมด้วย เช่น ป่วยเป็นไข้หวัด อย่างไรก็ตามผู้ป่วยจะกลับมากินอาหารได้ตามปกติหากอาการป่วยนี้หายเป็นปกติแล้ว

แต่สิ่งที่ต้องระวังคือหากผู้ป่วยมีอาการรุนแรง นั่นอาจมีสาเหตุมาจากโรคประจำตัว ซึ่งหากไม่เคยรู้ตัวมาก่อนหรือมีอาการอื่นร่วมด้วยจนสงสัยว่าอาจเป็นโรคร้ายแรงก็ต้องรีบไปพบแพทย์ เพื่อการวินิจฉัยทั้งจากการวินิจฉัยทางคลินิกและการวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการต่อไป

ส่วนใหญ่แล้ว โรคที่เป็นปัจจัยให้เกิดอาการเบื่ออาหาร เช่น มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคมะเร็งตับอ่อน ตับวาย ไตวาย ตับอักเสบ ติดเชื้อเอชไอวี ไข้เลือดออก เป็นต้น

ปัญหาสุขภาพจิต มักมาจากความเครียด ความวิตกกังวล และความรู้สึกเป็นทุกข์ มีอารมณ์เศร้า เสียใจ เบื่อหน่าย ทำให้เกิดความรู้สึกไม่อยากอาหารได้ อย่างไรก็ตามมักจะปรากฏร่วมกับอาการที่บ่งบอกชัดเจนว่ามาจากความผิดปกติทางสุขภาพจิต เช่น อ่อนเพลีย ขาดแรงจูงใจในการดำเนินชีวิต และอาจมีภาวะคิดฆ่าตัวตาย


ผลข้างเคียงจากการใช้ยา การใช้ยารักษาโรคบางชนิดมีผลข้างเคียงให้เกิดอาการเบื่ออาหารได้ อย่างยาปฏิชีวนะ การให้เคมีบำบัด รวมถึงการใช้สารเสพติดก็ส่งผลให้เกิดอาการเบื่ออาหารได้เช่นกัน



การรักษาอาการเบื่ออาหาร

การรักษาอาการเบื้องต้นจะแตกต่างกันตามสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการเบื่ออาหาร

จากปัญหาสุขภาพกาย หากเป็นโรคชั่วคราวอย่างไข้หวัด สามารถรักษาได้ด้วยการกินยาและดูแลสุขภาพให้แข็งแรง รวมถึงพยายามกินอาหารบ้าง อาจแบ่งเป็นมื้อเล็ก ๆ แต่กินบ่อย ๆ เลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ ให้พลังงานมาก เพื่อที่จะได้ไม่ต้องกินปริมาณมากแต่ได้รับพลังงานเพียงพอ และดื่มน้ำให้มาก อย่างไรก็ตามหากเป็นโรคประจำตัว การรักษาอาการเบื่ออาหารจะเป็นไปได้ยาก แต่สามารถดูแลไม่ให้อาการแย่ลง และประคับประคองไปตามอาการ

จากปัญหาสุขภาพจิต หากเป็นอาการเครียดชั่วคราว อาการจะดีขึ้นเองเมื่อภาวะความเครียดลดลง แต่ถ้าหากสัมพันธ์กับอาการป่วยทางจิตเวช เช่น โรคซึมเศร้า ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการรักษาจากจิตแพทย์เพื่อให้ยาในการรักษาโรค หรือปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต เพื่อบำบัดอาการ

จากผลข้างเคียงจากการใช้ยา หากเป็นผลข้างเคียงจากยาที่ใช้รักษาโรค ต้องปรึกษาแพทย์เพื่อเปลี่ยนหรือปรับปริมาณยา แต่ถ้าเป็นผลข้างเคียงจากการใช้สารเสพติด ก็ต้องได้รับการบำบัดที่ถูกวิธี เพื่อรักษาอาการติดสารเสพติดด้วย

อ้างอิง : “เบื่ออาหาร” อาจเป็นสัญญาณอันตรายโรคร้ายที่คาดไม่ถึง (sanook.com)

อ่านบทความเพิ่มเติม




ไทยพลัสนิวส์ 10 อาหารที่กินแล้วทำให้ แก่วัย

 ไทยพลัสนิวส์ 10 อาหารที่กินแล้วทำให้ แก่วัย ไทยพลัสนิวส์ 10 อาหารที่กินแล้วทำให้ แก่วัย เรื่องของอาหารการกิน ยังไงก็เป็นเรื่องที่สำคัญ ต่อร...