สลากไทพลัส จะมาเสนอความเปนมาของวัดอโศการามปัจจุบันนี้ เดิมเรียกว่า "นาแม่ขาว" เจ้าของที่ดินคือ นางกิมหงษ์ และนายสุเมธ ไกรกาญจน์ ได้ถวายที่ดินให้สร้างวัดเนื้อที่ประมาณ 53 ไร่ เมื่อ ปี พ.ศ. 2497 จนกระทั่งปี พ.ศ. 2498 จึงได้เริ่มตั้งสำนักขึ้นเป็นครั้งแรก โดยให้พระลูกศิษย์ คือพระครูใบฎีกาทัศน์ มาเฝ้าสำนักแทน พร้อมกับลูกศิษย์อีก 5 รูป รวมมีพระที่สำนักนี้ในครั้งเริ่มตั้ง จำนวน 6 รูป"
วัดอโศการาม มีที่ตั้ง ประมาณ 53 ไร่ และเป็นที่ที่เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2497 - พ.ศ. 2498 เป็นปีที่พระสุทธิธรรมรังสี (ลี ธมฺมธโร) เริ่มก่อตั้งสำนักสงฆ์ขึ้นมา เพราะฉะนั้นภิกษุส่วนมากที่อยู่ตามป่าจะอยู่ในการดูแลของท่านพ่อลี และยึดแนววัตรปฏิบัติของท่านพ่อลี นาแม่ขาว เป็นชือตำบลเป็นที่ตั้งของวัดอโศการามปัจจุบัน ตามประวัติที่กล่าวไว้ในหนังสือชีวประวัติ พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (พระอาจารย์ลีธมฺมธโร) ความว่า" ที่ตั้งวัดอโศการามปัจจุบันนี้ เดิมเรียกว่า "นาแม่ขาว" เจ้าของที่ดินคือ นางกิมหงษ์ และนายสุเมธ ไกรกาญจน์ ได้ถวายที่ดินให้สร้างวัดเนื้อที่ประมาณ 53 ไร่ เมื่อ ปี พ.ศ. 2497 จนกระทั่งปี พ.ศ. 2498 จึงได้เริ่มตั้งสำนักขึ้นเป็นครั้งแรก โดยให้พระลูกศิษย์ คือพระครูใบฎีกาทัศน์ มาเฝ้าสำนักแทน พร้อมกับลูกศิษย์อีก 5 รูป รวมมีพระที่สำนักนี้ในครั้งเริ่มตั้ง จำนวน 6 รูป" เมื่อออกพรรษาและได้จัดงานพระราชทานเพลิงศพสมเด็จฯ เรียบร้อยแล้ว เป็นปี พ.ศ. 2498 ท่านพ่อลี จึงได้ออกไปจำพรรษาที่วัดอโศการาม
ในระหว่างนี้ได้เริ่มคิดดำริจัดงานฉลองสมโภช 25 พุทธศตวรรษ ในปีพ.ศ. 2500 การดำริในเรื่องนี้ ท่านได้ดำริมานานปีแล้ว คือเริ่มดำริตั้งแต่ปีที่ได้เดินทาง ออกมาจากดงบ้านผาแด่นแสนกันดาร( เชียงใหม่) วัดอโศการาม ได้รับการพัฒนาสืบเนืองมาโดยลำดับ แม้หลังท่านพ่อลีได้มรณภาพไปแล้ว ( ปี พ.ศ. 2504)ได้มีการขยายพื้นที่ออกไป ทางด้านทิศตะวันออก ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของวิหารสุทธิธรรมรังสีในปัจจุบัน พร้อมกันนั้นก็ได้ทำการสร้างพระธุตังคเจดีย์ ที่ท่านพ่อได้วางแบบเอาไว้ให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี เป็นปูชนียสถานประดิษฐานพระบรมสารีริธาตุ ไว้เป็นที่สักการะของเหล่าเทวดา และมนุษย์ทั้งหลายชือว่า " ธุตังคเจดีย์" เป็นเจดีย์หมู่ 13 องค์วัดอโศการาม เป็นสถานที่ปฏิบ้ติธรรมกัมมัฏฐานภาวนา ที่ท่านพ่อลีได้วางรากฐานไว้ เหล่าศิษยานุศิษย์ได้ปฏิบัติสืบไป
จากหมายเหตุที่ท่านพ่อได้ปรารภไว้ใน หนังสือชีวประวัติของท่าน ความว่า การตั้งชื่อวัดอโศการามนี้ มิใช่ได้คิดขึ้นในคราวที่ตั้งได้คิดชื่อนี้ขึ้น ตั้งแต่ปีจำพรรษาอยู่ที่ตำบลสารนารถ เมืองพาราณสี ได้เอานามของท่านผู้มีคุณวุฒิ เป็นฉายาลักษณ์ของผู้ทรงคุณ ฉะนั้นจึงได้สร้างพระรูปนี้ขึ้นประกอบในนามของวัด เพื่อเป็นสวัสดิมงคลสืบต่อไป แต่ที่จริงชื่อวัดอันนี้ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์เคยรับสั่งเล่าให้ฟัง อันเป็นสิ่งที่น่ากลัวจะไม่สำเร็จในงานอันนั้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ได้ทำรายงานยืนยัน ไปตามระเบียบการคณะสงฆ์ ก็ไม่มีท่านสังฆมนตรีองค์ใดองค์หนึ่งคัดค้าน ว่าไม่เหมาะสม เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็พอใจ
คำว่า “ อโศการาม ” เป็นคำสนธิเป็นคำ 2 คำ คือ “ อโศก ” ที่แปลว่า “ ไร้ความเศร้า ” กับคำว่า “ อาราม ” ที่มีความหมายว่า “ แหล่งรื่นรมย์ ” เมื่อนำรวมกันแล้วจะได้ความหมายที่ดีคือ แหล่งรื่นรมย์ที่ไร้ความเศร้าหมอง ซึ่งเมื่อก้าวเท้าเข้าสู่ประตูแห่งธรรมะที่มีชื่ออย่าง “ วัดอโศกราม ” แห่งนี้แล้ว ก็คงต้องยอมรับว่าแหล่งนี้เป็น “ แหล่งรื่นรมย์ ” และ “ ร่มรื่น ” ไปด้วยพรรณไม้นานาชนิดไม่ว่าจะเป็นป่าโกงกาง ไม้ลำพู หรือปลงทอง แต่ถึงอย่างไรก็ดี วัดอโศการามนี้ยังแสดงให้เห็นความแตกจ่างจากคำว่า “ อาราม ” จากวัดทั่วๆ ไป
เมื่อมองไปรอบๆ บริเวณวัดแล้ว ความแตกต่างอย่างหนึ่งได้ชัดเจน คือ วัดนี้ไม่มีเมรุเหมือนวัดอื่นๆ ที่จำต้องมีเพื่อจัดงานฌาปาณกิจให้กับประชาชนทั่วไป เพราะวัดแห่งนี้ไม่รับเผาศพหรือสวดพระอภิธรรมภายในวัดที่จะได้รับการเผาแบบเชิงตะกอนเท่านั้น เพื่อให้ผู้พบเห็นปลงกับสังขารอันไม่เที่ยงของมนุษย์และอีกกิจกรรมหนึ่งที่ทางวัดจะจัดขึ้นเป็นประจำในวันที่ 24 – 26 เมษายนของทุกปี ซึ่งตรงกับวันมรณภาพของหลวงพ่อลี ธมมธโร เจ้าอาวาสรูปแรกของวัดอโศการามและเป็นเรื่องแปลกตรงที่งานประจำปีนี้จะปราศจากงานรื่นเริง และมหรสพต่างๆ แต่สิ่งที่มาแทนที่ คือ การวิปัสสนาและการปฏิบัติธรรมของศิษยานุศิษย์ที่เลื่อมใส พิธีการ คือ จะมีการบวชพราหมณ์ในวันที่ 24 เมษายน ในตอนบ่ายโมง และจะมีการอบรมจนถึงกลางคืน รุ่งเช้า วันที่ 25 เมษายน จะมีการฉันท์เช้า มีการเทศน์ และทำบุญในโรงทานให้ประชาชนได้เข้ามาทานอาหารฟรีโดยที่ประชาชนในชุมชนได้เข้ามาทานฟรีโดยที่ประชาชนในชุมชนจะเป็นผู้ให้ความร่วมมือในการทำบุญ ในแต่ละปีนั้นจะมีการนิมนต์พระจากวัดต่างๆ มาให้เท่าอายุของหลวงพ่อลี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น