วันศุกร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2566

ประวัติความเป็นมาของวัดพระธาตุจอมกิตติ โดย สลากไทพลัส กองสลากไทพลัส

สวัสดีวันนี้ สลากไทพลัส จะมาเสนอความเป็นมาของวัดพระธาตุจอมกิตติ ตั้งอยู่บนยอดดอยน้อย อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย



ประวัติ

ตามตำนานสิงหนติโยนกกล่าวว่า พ.ศ. 1438 หลังจากพระพุทธโฆษาจารย์เดินทางไปศึกษาพระพุทธศาสนาจากประเทศลังกาแล้ว จึงกลับมาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในมอญ พม่า ตามลำดับจนเข้ามาในโยนกนคร ได้นำพระบรมสารีริกธาตุส่วนพระนลาฏ (หน้าผาก) 16 องค์มาด้วย พระองค์พังคราช พระองค์พรหมราช และพญาเรือนแก้ว ได้สร้างโกศเงิน โกศทอง โกศแก้ว บรรจุพระธาตุ แบ่งให้พญาเรือนแก้วนำไปบรรจุในพระธาตุจอมทอง กลางเวียงไชยนารายณ์เมืองมูล 5 องค์ ส่วนพระธาตุที่เหลืออีก 11 องค์ พระองค์พังคราช พระองค์พรหมราช และพระพุทธโฆษาจารย์ได้สร้างเจดีย์บรรจุพระธาตุไว้บนดอยน้อย ซึ่งเป็นสถานที่พุทธทำนายว่าต่อไปจะได้ชื่อ จอมกิตติแต่อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันยังไม่ค้นพบหลักฐานที่เก่าถึงยุคสมัยโยนกนครตามที่ตำนานอ้างไว้

พ.ศ. 2030 หมื่นเชียงสง เจ้าเมืองเชียงแสน ได้ทำการสร้างพระธาตุจอมกิตติและวิหารขึ้น ตามพื้นเมืองเชียงแสนกล่าวว่า

"เถิงสักกราชได้ 849 ตัว ปีเมืองเม็ด (พ.ศ. 2030) เจ้าพระญาสุวัณณฅำล้านนากินเมืองเชียงแสนกับหมื่นพร้าวผู้เปนพรองเมืองที่นี้มาได้ 25 ปีแล้วจุติตายไปแล ยามนั้นพระญาอติโลกราชเจ้าก็ยกยังหมื่นพร้าวพรองเมืองนั้น หื้อกินเมืองเชียงแสนที่นี้ ใส่ชื่อว่า หมื่นเชียงสง ว่าอั้นแล้ว ก็หื้อหมื่นงั่วผู้หลานนั้นเปนพรองเมืองดังเก่า เหตุว่าท่านยังหนุ่มอยู่แล


สักกราชได้ 849 ตัว ปีเมืองเม็ด (พ.ศ. 2030) เดือน 5 ออก 12 ฅ่ำนี้ หมื่นเชียงสงได้กินเมืองแล้ว ท่านก็สร้างธาตุเจ้าจอมกิตติ เจติยะกว้าง 4 วาศอก สูง 12 วาศอก ที่อันพระพุทธเจ้ายังธรมานมาถาปนาเกสาธาตุแล้วทำนวายว่า ธาตุดูกหน้าผาก ดูกอกแลดูกแขนกล้ำขวา จักมาสถิตอยู่ที่นี้ ว่าอั้นนั้นแล สร้างวิหารกว้าง 5 ยาว 9 วาแล แล้วเอานาบุญลงไปเถิงอติโลกราชเจ้า ในสักกราชได้ 850 ตัว (พ.ศ. 2031) ปีเปิกสันนี้แล ท่านก็ทานฅนไว้กับ 200 ครัว กับนา 4 หมื่น 4 พัน 500 เบี้ย ไว้เขตตั้งแต่ตีนดอยไป 40 วา ชุด้านแล"

พ.ศ. 2227 เจ้าฟ้าเฉลิมเมือง เจ้าฟ้าเชียงแสนได้ทำการบูรณะพระธาตุจอมกิตติครั้งใหญ่ ใช้เวลา 1 ปี และมีการทำบุญฉลองอย่างยิ่งใหญ่ ตามพื้นเมืองเชียงแสนกล่าวว่า

"สักกราชได้ 1046 ตัว ปีกาบใจ้ เดือน 6 เพ็ง วัน 4 มหาสัทธาเจ้าฟ้าเฉลิมเมืองเปนเค้าแก่เสนาอามาตย์ปัชชานราชทังมวล พร้อมกันเวียกสร้างธาตุเจ้าจอมกิตติ ได้ขวบหนึ่งบอรมวลแล สักกราชได้ 1047 ตัว ปีดับเป้า เดือน 6 เพ็ง วัน 4 ฉลองทานมีบอกไฟแสน 8 หมื่นบอก 1 บอกน้อยมากหลายแล เดือน 6 แรม 3 ฅ่ำ วัน 2 ตกปีใหม่แล้ว แรม 4 ฅ่ำ เจาะบอกไฟหลวงบูชามหาธาตุที่ท่งห้วยหอมขึ้นนัก"

ภายหลังเมื่อเมืองเชียงแสนถูกตีแตกใน พ.ศ. 2347 ทำให้พระธาตุจอมกิตติขาดการดูแลรักษา และชำรุดทรุดโทรมลง องค์พระเจดีย์ตั้งเอียงไปทางทิศใต้จวนจะล้มพังทลายลง

พ.ศ. 2469 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินเลียบมณฑลฝ่ายเหนือและมณฑลพายัพ ได้ทรงนมัสการพระธาตุจอมกิตติเมื่อวันที่ 17 มกราคม

พ.ศ. 2498 พลโทยุทธ สมบูรณ์ เจ้ากรมรักษาดินแดน เป็นผู้ติดต่อประสานงานไปยังคุณเชื้อ ศาลิกมาลย์ อธิบดีกรมศิลปากร ได้มาพัฒนาและปรับสถานภาพองค์พระเจดีย์ที่ตั้งเอียงให้ตรงดังเดิม ซึ่งกรมศิลปากรได้เข้ามาดำเนินการจนแล้วเสร็จใน พ.ศ. 2510 จากนั้นจึงมีการพัฒนาปรับปรุงพื้นที่บริเวณซึ่งเป็นป่ารกชัฏ เต็มไปด้วยซากโบราณวัตถุกระจัดกระจาย จนเป็นที่น่ารื่นรมย์เหมาะแก่การปฏิบัติธรรม

พ.ศ. 2501 พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเชียงแสน และทรงนมัสการพระธาตุจอมกิตติเมื่อวันที่ 11 มีนาคม

พ.ศ. 2519 ได้ทำการฉลองสมโภชองค์พระเจดีย์ พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี เสด็จพระราชดำเนินถวายสักการะองค์พระเจดีย์พร้อมกันทั้ง 4 พระองค์ และทรงเป็นประธานงานพิธียกฉัตรพระธาตุจอมกิตติ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 15 กุมภาพันธ์ เวลาประมาณ 14.00 น. โดยมีสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นิมนต์พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ 10 รูป ร่วมเจริญพระพุทธมนต์

พ.ศ. 2532-2533 พลอากาศเอกวรนาถ อภิจารีและคณะได้ขึ้นมาบูรณะกำแพงรอบพระธาตุบางส่วน พร้อมทั้งปิดทองปูกระเบื้องลานพระธาตุ

พ.ศ. 2538 พลตำรวจเอกประสาน วงศ์ใหญ่ ผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจ ได้สร้างนาค 2 ตัวที่บันไดทิศใต้ข้างกุฏิเจ้าอาวาส พร้อมสร้างกุฏิด้านล่างอีก 1 หลัง

พ.ศ. 2544-2545 พลตรีพงศ์ทัศน์ เศวตเศรนี พร้อมครอบครัวและคณะของแม่ชีมัณฑนาได้สร้างบันไดด้านทิศใต้



พ.ศ. 2541-2546 พลเอกโอภาส โพธิแพทย์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและเรืออากาศตรีหญิงจันทรา โพธิแพทย์ ได้เข้าร่วมพัฒนาวัดพระธาตุจอมกิตติอย่างต่อเนื่องหลายครั้งหลายโอกาส โดยจัดหาทุนสร้างระบบไฟฟ้า ประปา ถนน ขึ้นสู่บริเวณพระธาตุจอมกิตติ บูรณะพระธาตุและสร้างกุฏิ จัดหาทุนก่อตั้งมูลนิธิพระธาตุจอมกิตติ

พ.ศ. 2545 คุณประจักษ์ แจ่มรัศมีโชติ รองผู้อำนวยการบริษัทการบินไทยได้ทำการบูรณะกำแพงรอบพระธาตุด้านทิศเหนือ

เมื่อวันพุธที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 เวลา 15.57 น. เกิดแผ่นดินไหววัดขนาดได้ 5.8 มีศูนย์กลางบริเวณชายแดนไทย-ลาว ห่างจากจังหวัดเชียงราย 57 กิโลเมตร ส่งผลให้ยอดฉัตรพระธาตุจอมกิตติ อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย หักโค่นลงมาได้รับความเสียหาย ทางวัดได้นำไปเก็บรักษาไว้ ณ พิพิธภัณฑ์เชียงแสน สิ่งของที่บรรจุในยอดปลีองค์พระธาตุ ซึ่งมีอัญมณี 9 ชนิด ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้พระราชทานบรรจุในยอดฉัตรเพื่อบูชาพระบรมสารีริกธาตุ (พระเกศาธาตุ) ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งพบแล้ว 7 อย่าง สูญหายไป 2 อย่าง

ต่อมา สำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากรได้ซ่อมแซมฉัตรจากของเดิมให้มีความสมบูรณ์และแข็งแรงมากขึ้น รวมทั้งได้เปลี่ยนก้านและแกนฉัตรเป็นสแตนเลส จากเดิมที่เป็นเหล็ก ซึ่งผุกร่อนเป็นสนิม ส่วนตัวฉัตรนั้น ช่างได้ทำให้เข้ารูปเดิม และเปลี่ยนวิธีห่อหุ้มทองคำ 99 เปอร์เซ็นต์ จากวิธีเปียกทองโบราณ มาใช้เทคโนโลยีใหม่วิธีฟอร์มทอง โดยใช้ไฟฟ้าเป็นตัวหล่อและหุ้ม ซึ่งทำให้ทองคำอยู่ติดคงทน และสีไม่หมอง ส่วนยอดฉัตรที่ประดับด้วยอัญมณีนพเก้า และมีอัญมณีหลุดหายไป 2 ชนิดนั้น ได้มีประชาชนบริจาคโกเมนและนิล ซึ่งช่างได้นำขึ้นไปประดับไว้ครบทั้ง 9 ชนิดแล้ว ส่วนองค์พระธาตุ กรมศิลปากรได้ดำเนินการบูรณะเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทั้งในส่วนโครงสร้างและฐานราก เสริมอิฐซ่อมแซมส่วนที่เสียหายและเสริมความมั่นคงรอยแตกร้าวด้วยกาววิทยาศาสตร์ (Epoxy) และอัดฉีดน้ำปูนเข้าไป

ในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 เวลา 09.00 น. สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปยังวัดพระธาตุจอมกิตติ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ทรงประกอบพิธียกฉัตรประดับยอดพระธาตุกลับคืนดังเดิม



พระธาตุจอมกิตติ

ส่วนฐาน ประกอบด้วยฐานเขียงในผังสี่เหลี่ยมจัตุรัสรองรับฐานปัทม์ลูกแก้วอกไก่ย่อเก็จ ระหว่างชั้นฐานปัทม์ฐานเขียงมีชั้นบัวคว่ำคั่นกลาง

ส่วนกลาง เป็นเรือนธาตุทรงสี่เหลี่ยมมีจระนำประดิษฐานพระพุทธรูปทุกด้าน เรือนธาตุอยู่ในผังสี่เหลี่ยมจัตุรัสยกเก็จที่ต่อเนื่องมาจากฐานด้านล่าง มุมที่เกิดจากการยกเก็จค่อนข้างใหญ่และลึกมากกว่าการยกเก็จในศิลปะล้านนา เรือนธาตุของพระธาตุจอมกิตติมีการพัฒนาเพิ่มขึ้นในรายละเอียดของส่วนประกอบคือ บัวเชิงและบัวรัดเกล้ามีลักษณะคล้ายกับฐานปัทม์ลูกแก้วอกไก่ โดยเฉพาะบัวเชิงมีความต่อเนื่องจากฐานปัทม์ของส่วนฐาน ดูคล้ายกับเป็นฐานปัทม์สองชั้น แต่ที่จริงเป็นส่วนหนึ่งของเรือนธาตุเพราะจระนำได้เจาะลึกลงไปจนถึงหน้ากระดานบนของฐานปัทม์ด้านล่าง

ส่วนยอด เหนือเรือนธาตุประกอบด้วยชั้นหลังคาลาดที่มีแนวยกเก็จต่อเนื่องขึ้นมาจากยกเก็จของเรือนธาตุ ถัดขึ้นไปเป็นชุดฐานปัทม์สิบสองเหลี่ยมซ้อนลดหลั่งกับองค์ระฆังทรงกลม บัลลังก์กลมบัวกลุ่มกลีบยาว ปล้องไฉน และปลียอดตามลำดับ

จากลักษณะของส่วนฐาน เรือนธาตุ ชุดฐานบัวเหนือชั้นหลังคาลาดและบัวกลุ่มกลีบยาว อาจสันนิษฐานได้ว่ารูปแบบของเจดีย์วัดพระธาตุจอมกิตติในปัจจุบันคงมีการปฏิสังขรณ์ในราวพุทธศตวรรษที่ 2


สลากไทพลัส 80 บาททุกใบไม่มีบวกเพิ่ม ถูกรางวัลรับเต็ม

ติดต่อทาง LINE:@STPLUS

www.สลากไทพลัส.com


.
อ่านบทความเพิ่มเติมของ สลากไทพลัส




ประวัติความเป็นมาของวัดกลางเวียง โดย สลากไทพลัส กองสลากไทพลัส

สวัสดีวันนี้ สลากไทพลัส จะมาเสนอความเป็นมาของวัดกลางเวียง วัดจันทโลก หรือ วัดจันทโลกกลางเวียง เป็นวัดและโบราณสถานในจังหวัดเชียงราย ตั้งอยู่บนถนนอุตรกิจ ตำบลเวียง อำเภอเมืองเชียงราย





ประวัติ

วัดจันทโลก สร้างใน พ.ศ. 2180 โดยพญาขีธ็อก หรือพญาขีธอน เจ้าเมืองเชียงรายที่ได้รับการแต่งตั้งจากพระเจ้าตาลูน ยุคพม่าครองล้านนา พื้นเมืองเชียงราย ฉบับวัดป่าลาน ตำบลทุ่งต้อม อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า

"สรีสุขสวัสดี ทีนี้ จักกล่าวพื้นเมืองเชียงราย ด้วยย่ออันแคบก่อนแล ตั้งฟ้าสุมโธธัมมราชมาปราบล้านนาได้แล้ว แต่งพญาขีธ็อกกินเมืองเชียงราย สร้างวัดจันทโลกไว้แล้ว กินเมืองได้ 7 ปี สักกราช 1006 ตัว มังคัชชเทวมากินนานได้ 8 ปี จุติแล"

เหตุที่เรียกวัดจันทโลก เพราะเดิมมีต้นจันทน์แดงขนาดใหญ่ในวัด เมื่อเมืองเชียงรายร้างไปในช่วงสงครามขับไล่พม่า วัดแห่งนี้ได้กลายเป็นวัดร้าง

พ.ศ. 2368 พระยารัตนอาณาเขต (เจ้าหนานธรรมลังกา) เจ้าหลวงเมืองเชียงราย พร้อมไพร่พลเมืองประมาณ 1,000 ครัวเศษ ร่วมกันบูรณะฟื้นฟูเมืองเชียงรายขึ้นใหม่ ชาวไทขืน เมืองพะยากได้ตั้งชุมชนบริเวณวัดจันทโลก เรียกบ้านพะยาก และได้ทำการบูรณะฟื้นฟูวัดจันทโลกขึ้นใหม่ การบูรณะฟื้นฟูเมืองเชียงรายดำเนินการมาถึงสมัยพระยารัตนอาณาเขต (เจ้าอุ่นเรือน) กำหนดเขตเวียงด้วยการตั้งลำเวียง ก่อกำแพงเมืองตามแนวเดิม ลวงแป (ด้านยาวทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก) มี 976 วา ลวงขื่อ (ด้านกว้างทิศเหนือไปทิศใต้) มี 365 วา วัดระยะกองไขว้ (เส้นทแยง) ได้ตำแหน่งศูนย์กลางบริเวณวัดจันทโลก จึงได้ทำการฝังสะดือเมืองเมื่อ พ.ศ. 2417 วัดจันทโลกจึงถูกเรียกว่า วัดจันทโลกกลางเวียง

พ.ศ. 2438 วิหารวัดจันทโลกสร้างเสร็จ มีการฉลองวิหาร จดหมายเหตุเมืองเชียงราย ยุคฟื้นฟูเมืองเชียงรายกล่าวว่า






"สกราช 1257... เดือน 7 ลง 8 ฅ่ำ จหลองวิหารวัดจันทาโลกกลางเวียง"

พ.ศ. 2446 เกิดลมพายุ พัดต้นจันทน์แดงใหญ่ที่อยู่ในบริเวณวัดโค่นล้มและพาดต้นตาล ต้นลาน ทับวิหารและกุฏิพังเสียหายอย่างหนัก จดหมายเหตุเมืองเชียงราย ยุคฟื้นฟูเมืองเชียงรายกล่าวว่า

"สกราช 1265 ตัว ปีกล่าเหม้า วัน 6 เดือน 8 ขึ้น 12 ฅ่ำ ลมใหญ่พัดลานหักเตงใส่โรงแลวิหารวัดจันทโลกกลางเวียง ขื่อแปปุดสะบั้น"

ต้นจันทน์แดงต้นที่ล้ม พระยารัตนาณาเขตร์ (เจ้าน้อยเมืองไชย) เจ้าหลวงเชียงรายได้ตัดเป็น 2 ท่อน ไม้จันทน์ท่อนทางโคนสวยงามและมีขนาดใหญ่ เก็บไว้ที่เชียงราย ไม้จันทน์ท่อนส่วนปลายไปให้เชียงใหม่ ใช้เป็นสื่อไมตรีระหว่างเชียงราย-เชียงใหม่ บันทึกจดหมายเหตุเหล่าเจ้าเจ็ดตน กล่าวว่า

"เมื่อตูได้ของดีค็บ่ละเสียยังรีต บ่ลีดเสียยังปราเวณี ค็จักหื้อของดีแกล่สูไพ เคล้าเชียงราย ปลายเชียงใหม่ เทิอะเนิอ"

ไม้จันทน์ส่วนของเชียงราย ภายหลังศรัทธาวัดนำไปบรรจุใต้ฐานชุกชีพระประธานวัดกลางเวียง ส่วนท่อนที่มอบให้เชียงใหม่นั้นไม่มีผู้ใดทราบว่าปัจจุบันอยู่ที่ไหน ไม้จันทน์แดงที่โค่นล้มนี้เป็นมูลเหตุทำให้ชื่อวัดกร่อนลง เป็นวัดกลางเวียงในปัจจุบัน

ปูชนียวัตถุและถาวรวัตถุที่สำคัญของวัด
วิหาร
สร้างใหม่เมื่อ พ.ศ. 2534 เป็นสถาปัตยกรรมแบบล้านนาประยุกต์ บันไดทางขึ้นทำเป็นรูปพญานาคคายจากปากมกร มีรูปปั้นพญาราชสีห์และตุงกระด้าง 1 คู่


พระประธาน

พระประธานปูนปั้น ปางมารวิชัย เดิมเป็นศิลปะสกุลช่างไทขืน ต่อมาได้บูรณะโดยก่อพอกทับองค์เดิม เป็นรูปแบบศิลปะล้านนา ลงรักปิดทองทั้งองค์ เรียกขานนามว่า "พระเจ้าเพชรมงคลมุนี"

เจดีย์

เดิมเป็นพระเจดีย์ปัญจมหาธาตุ พ.ศ. 2539 ได้สร้างพระธาตุช้างค้ำครอบพระเจดีย์ปัญจมหาธาตุ ประดับซุ้มจระนำด้วยพระพุทธรูปจำนวนมาก ฐานเจดีย์มีช้างทรงเครื่องรายรอบ ฐานรองรับองค์ระฆังแปดเหลี่ยม ฐานสูง องค์ระฆังเล็ก



เสาสะดือเมือง

ศาลสะดือเมืองเชียงราย
สร้างเมื่อ พ.ศ. 2417 สมัยพระยารัตนอาณาเขต (เจ้าอุ่นเรือน) จดหมายเหตุเมืองเชียงราย ยุคฟื้นฟูเมืองเชียงรายกล่าวว่า

"สกราช 1236 ตัว ปีกาบเสด เดือน 6 ออก 12 ฅ่ำ พายในพายนอกพร้อมกันฝังสะดือเมืองแล 4 แจ่งเวียง ยามแตรสู่เที่ยงวัน"

สะดือเมืองเดิมตั้งอยู่ค่อนไปทางตะวันออกเฉียงใต้ของบริเวณวัด ไม่ใช่ที่ตั้งปัจจุบัน มีรูปร่างเป็นสถูปเหมือนลูกฟักทอง มียอดสูงขึ้นไป ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 6 ศอก สูง 8 ศอก มีการสร้างมณฑปครอบไว้ เดิมมีประเพณีใส่ขันดอกแบบเข้าอินทขิลเมืองเชียงใหม่ เริ่มในวันแรม 13 ค่ำ เดือน 8 เหนือ เสร็จเอาวัน ออก 4 ค่ำ เดือน 9 เหนือ เรียก "เดือนแปดเข้า เดือนเก้าออก" หรือ "ประเวณีไหว้ดือเมือง"

ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 พระ เณร ศรัทธาวัดได้อพยพจากพื้นที่ วัดกลายเป็นที่พักของกองทหารส่วนกลาง มีการลักลอบขุดเจาะของมีค่าในสถูปออกจนสถูปหมดสภาพ จากนั้นถูกละเลยขาดการบูรณะจนกระทั่งถูกรื้อเมื่อ พ.ศ. 2469 สมัยครูบาสุตาลังกา อภิวํโส

28 กันยายน พ.ศ. 2534 พระครูศานกิจโกศล (ครูบาดวงทิพย์) อดีตเจ้าอาวาสวัดกลางเวียงเป็นประธาน พร้อมด้วยคณะศิษยานุศิษย์ ศรัทธา และญาติโยม ร่วมกันกระทำพิธีวางศิลาฤกษ์สะดือเมืองเชียงรายใหม่ เพื่อเป็นอนุสรณ์และสักการะบูชาแก่สาธารณชนทั้งหลาย โดยในการสร้างมณฑปและสะดือเมืองนี้ได้รับความเมตตาอุปถัมภ์จาก นายวีรพันธ์ นางเพียงใจ งามศิริกุลชัย เป็นเจ้าภาพสร้างถวาย

พ.ศ. 2553 พระอาจารย์ยุทธพงษ์ ฐิตเมโธ อดีตเจ้าอาวาสวัดกลางเวียง พร้อมด้วยคณะศิษยานุศิษย์และศรัทธาญาติโยม ได้รื้อฟื้นประเวณีไหว้ดือเมืองขึ้นใหม่อีกครั้ง โดยได้จัดให้มีการปฏิบัติธรรมสวดมนต์เจริญภาวนา และบวงสรวงเสาสะดือเมือง บูชาดวงเมืองเพื่อสืบทอดประเพณีไหว้สะดือเมืองให้คงอยู่คู่ชาวเชียงรายสืบไป
สลากไทพลัส 80 บาททุกใบไม่มีบวกเพิ่ม ถูกรางวัลรับเต็ม
ติดต่อทาง LINE:@STPLUS
www.สลากไทพลัส.com


อ่านบทความเพิ่มเติมของ สลากไทพลัส




วันพฤหัสบดีที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2566

ประวัติความเป็นมาของวัดร่องเสือเต้น โดย สลากไทพลัส กองสลากไทพลัส

 สลากไทพลัส จะมาเสนอวัดร่องเสือเต้น เป็นวัดราษฎร์สังกัดคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย ตั้งอยู่ริมแม่น้ำกก ในตำบลริมกก อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย



ประวัติ

ในอดีตที่ตั้งของวัดเป็นวัดร้าง มีเศษซากอิฐโบราณสถาน ต่อมาชาวบ้านมีความคิดริเริ่มจะสร้างวัด เนื่องจากชาวบ้านร่องเสือเต้น ไม่มีที่ทำบุญในหมู่บ้าน จากคำบอกเล่าของคนเฒ่าคนแก่เล่าว่า บ้านเรือนยังมีไม่มากนัก แต่มีสัตว์ป่าจำนวนมากโดยเฉพาะเสือ ชาวบ้านที่ผ่านแถวนั้นมักชอบเห็นเสือกระโดดข้ามร่องน้ำไปมา จึงเรียกบริเวณนี้ต่อ ๆ กันมาว่า ร่องเสือเต้น รวมถึงหมู่บ้านก็เรียกว่า บ้านร่องเสือเต้นเมื่อชาวบ้านได้บูรณะวัดร้างจึงได้ตั้งชื่อวัดว่า "วัดร่องเสือเต้น" ได้รับอนุญาตตั้งวัดเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2558




เสนาสนะ

จุดเด่นของวัด คือ วิหารวัดร่องเสือเต้น สร้างและออกแบบโดยศิลปินพื้นบ้านชาวเชียงราย นายพุทธา กาบแก้ว หรือที่คนรู้จักในนาม สล่านก ซึ่งเป็นศิษย์อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ วิหารเริ่มสร้างเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2548 โดยมีขนาดกว้าง 13 เมตร ยาว 48 เมตร สร้างเสร็จเมื่อ วันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2559 ร่วมใช้เวลาก่อสร้างแล้วเสร็จถึง 11 ปี วิหารใช้สีน้ำเงินตัดกับสีทอง ด้านหน้าวิหารมีพญานาคตัวใหญ่ 2 ตัว อยู่คู่กัน ซึ่งเป็นศิลปะที่สล่านก ได้นำเอารูปแบบผลงานของอาจารย์ถวัลย์ ดัชนี นำมาประยุกต์ ภายในประดิษฐานพระประธานนามว่า พระพุทธรัชมงคลบดีตรีโลกนาถ เป็นพระพุทธรูปสิงห์หนึ่งสีขาวมุก ขนาดหน้าตักกว้าง 5 เมตร สูง 6.5 เมตร โดยมีพระรอดลำพูน จำนวน 88,000 องค์ และแก้วแหวนเงินทองหลายสิ่งถูกฝังอยู่ใต้พระพุทธรูปองค์นี้ รวมทั้งบริเวณพระเศียรก็ได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ด้านหลังวิหารมีพระพุทธรูปสีขาวองค์ใหญ่ เป็นพระพุทธรูปปางห้ามญาติสูงเทียบเท่ากับวิหารตัดกับสีน้ำเงินฟ้าสลับทอง



วัดมีองค์พระธาตุที่ได้บรรจุพระบรมสาริกธาตุ จากสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร พระธาตุสูง 20 เมตร มีนามว่า พระธาตุเกศแก้วจุฬามณีห้าพระองค์

สลากไทพลัส 80 บาททุกใบไม่มีบวกเพิ่ม ถูกรางวัลรับเต็ม

ติดต่อทาง LINE:@STPLUS

www.สลากไทพลัส.com


อ่านบทความเพิ่มเติมของ สลากไทพลัส

ประวัติความเป็นมาของวัดเชียงมั่น โดย สลากไทพลัส กองสลากไทพลัส

ความเป็นมาของวัดสวนดอก โดย สลากไทพลัส กองสลากไทพลัส

ประวัติความเป็นมาของวัดพันเตา โดย สลากไทพลัส กองสลากไทพลัส

 ประวัติความเป็นมาของวัดเจดีย์หลวงวรวิหาร โดย สลากไทพลัส กองสลากไทพลัส

ประวัติความเป็นมาของวัดเชียงมั่น โดย สลากไทพลัส กองสลากไทพลัส

สวัสดีวันนี้ สลากไทพลัส วัดเชียงมั่นเป็นวัดที่ตั้งอยู่ถนนราชภาคิไนย ตำบลศรีภูมิ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ มีพระเสตังคมณี (พระแก้วขาว) และพระศิลาซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางปราบช้างนาฬาคีรี ประดิษฐานอยู่ในพระวิหาร





มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ปรากฏในตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่และพงศาวดารโยนก หลังจากที่พญางำเมือง พญาร่วง และพญามังรายทรงสร้างเมืองเชียงใหม่ในปี พ.ศ. 1839 ทั้ง 3 พระองค์โปรดให้สร้างเจดีย์ และพญามังรายทรงประทับชั่วคราวในระหว่างควบคุมการสร้างเมือง ตรงหอนอนบ้านเชียงมั่น เรียกว่า "เวียงแก้ว" ทรงอุทิศตำหนักคุ้มหลวงเวียงเหล็ก ตั้งเป็นพระอารามหลวงแห่งแรกและพระราชทานนามว่า "วัดเชียงมั่น" จากนั้นคาดว่าเจดีย์พังลงมาในสมัยพระเจ้าติโลกราช (ครองราชย์ พ.ศ. 1985 - 2031) พระองค์จึงโปรดให้สร้างเจดีย์ใหม่ ทำด้วยศิลาแลง เมื่อปี พ.ศ. 2014




เมื่อเชียงใหม่ตกเป็นเมืองขึ้นของพม่า ในปี พ.ศ. 2094 วัดเชียงมั่นจึงถูกปล่อยร้าง จนปี พ.ศ. 2101 เจ้าฟ้ามังทรา (สมเด็จพระมหาธัมมิกะราชาธิราช) แห่งพม่า บูรณปฏิสังขรณ์วัดเชียงมั่นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง โดยโปรดให้สร้างเจดีย์ วิหาร อุโบสถ หอไตร ธัมมเสนาสนะกำแพง และประตูโขง มีพระมหาหินทาทิจจวังสะเป็นเจ้าอาวาสเมื่อถึงสมัยพระยากาวิละครองเมือง เชียงใหม่ (พ.ศ. 2324–2358)




ต่อมาพระพุทธศาสนาแบบธรรมยุกนิกายเผยแผ่เข้ามาในอาณาจักรล้านนา เจ้าอินทวโรรสสุริยวงษ์จึงนิมนต์พระธรรมยุตมาจำพรรษาอยู่ แต่ได้ย้ายไปอยู่วัดหอธรรมและวัดเจดีย์หลวงตามลำดับในภายหลัง

สลากไทพลัส 80 บาททุกใบไม่มีบวกเพิ่ม ถูกรางวัลรับเต็ม

ติดต่อทาง LINE:@STPLUS

www.สลากไทพลัส.com


อ่านบทความเพิ่มเติมของ สลากไทพลัส

ความเป็นมาของวัดสวนดอก โดย สลากไทพลัส กองสลากไทพลัส

ประวัติความเป็นมาของวัดพันเตา โดย สลากไทพลัส กองสลากไทพลัส

ประวัติความเป็นมาของวัดเจดีย์หลวงวรวิหาร โดย สลากไทพลัส กองสลากไทพลัส

ประวัติความเป็นมาของวัดอุโมงค์ โดย สลากไทพลัส กองสลากไทพลัส

ความเป็นมาของวัดสวนดอก โดย สลากไทพลัส กองสลากไทพลัส

สวัสดีวันนี้ สลากไทพลัส จะมาเสนอความเป็นมาของวัดสวนดอก หรือ วัดบุปผาราม เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย 



ที่ตั้งและอาณาเขต

วัดสวนดอกตั้งอยู่ในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่ เลขที่ 139 ถนนสุเทพ ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ห่างจากประตูสวนดอกไปทางทิศตะวันตก 1 กิโลเมตร กินเนื้อที่ 35 ไร่ 2 งาน 44 ตารางวา ทิศเหนือยาว 183 เมตร ทิศใต้ยาว 193 เมตร ทิศตะวันออกยาว 176 เมตร และทิศตะวันตกยาว 176 เมตร




ประวัติ

วัดสวนดอกสร้างขึ้นในภายในเวียงสวนดอก ซึ่งเป็นเขตพระราชอุทยานในสมัยราชวงศ์มังราย โดยในปี พ.ศ. 1914 (ศักราชนี้ถือตามหนังสือชินกาลมาลีปกรณ์ของพระรัตนปัญญาเถระ) พญากือนา กษัตริย์องค์ที่ 6 แห่ง ราชวงศ์มังราย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเป็นพระอารามหลวง เพื่อให้เป็นที่จำพรรษาของ "พระสุมนเถระ" ผู้ประดิษฐานพระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ ในแผ่นดินล้านนา และสร้างองค์พระเจดีย์เพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ 1 ใน 2 องค์ ที่พระสุมนเถระอัญเชิญมาจากสุโขทัย ในปี พ.ศ. 1912 (องค์หนึ่งประดิษฐานอยู่ในพระเจดีย์ในวัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร)


ในสมัยราชวงศ์มังราย วัดสวนดอกเจริญรุ่งเรืองมาก แต่หลังจากสิ้นราชวงศ์มังราย บ้านเมืองตกอยู่ในอำนาจพม่า ทั้งเกิดจลาจลวุ่นวาย วัดนี้จึงกลายสภาพเป็นวัดร้างไป จนได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่อีกครั้ง ในรัชสมัยพระเจ้ากาวิละแห่งราชวงศ์ทิพย์จักร และได้รับการทำนุบำรุงจากเจ้านายฝ่ายเหนือ และประชาชนเชียงใหม่มาโดยตลอด



วัดสวนดอก ได้รับการบูรณะครั้งสำคัญ 2 ครั้ง ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2450 เจ้าดารารัศมี พระราชชายาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญรวบรวมพระอัฐิ เจ้านครเชียงใหม่และพระประยูรญาติมาประดิษฐานรวมกัน และต่อมาอีกครั้งหนึ่งในปี พ.ศ. 2475 เป็นการบูรณปฏิสังขรณ์องค์พระวิหารโดยครูบาศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนา


สลากไทพลัส 80 บาททุกใบไม่มีบวกเพิ่ม ถูกรางวัลรับเต็ม

ติดต่อทาง LINE:@STPLUS

www.สลากไทพลัส.com


อ่านบทความเพิ่มเติมของ สลากไทพลัส

ประวัติความเป็นมาของวัดพันเตา โดย สลากไทพลัส กองสลากไทพลัส

ประวัติความเป็นมาของวัดเจดีย์หลวงวรวิหาร โดย สลากไทพลัส กองสลากไทพลัส

ประวัติความเป็นมาของวัดอุโมงค์ โดย สลากไทพลัส กองสลากไทพลัส

ประวัติความเป็นมาของวัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร โดย สลากไทพลัส กองสลากไทพลัส


ประวัติความเป็นมาของวัดพันเตา โดย สลากไทพลัส กองสลากไทพลัส

 สวัสดีวันนี้ สลากไทพลัส จะมาเสนอความเป็นมาของวัดพันเตา เป็นวัดราษฎร์สังกัดคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย ตั้งอยู่ในตำบลพระสิงห์ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ 




วัดพันเตา หรือ วัดปันเต้า สร้างเมื่อ พ.ศ. 1934 เป็นวัดร่วมสมัยเดียวกับวัดเจดีย์หลวงวรวิหาร เนื่องจากเคยเป็นเขตสังฆาวาสของวัดโชติการาม (วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร) มีตำนานปฐมเหตุการตั้งเมืองเชียงใหม่ สมัยลัวะปกครองเล่าว่า "เศรษฐีผู้หนึ่งหื้ออยู่กลางเวียง ทั้ง 5 คนนี้มีชื่อว่า เศรษฐีพันเท้า เขาก็ได้ตั้งคุ้มอยู่ตามคำเจ้าระสีแล" จึงสันนิษฐานว่าวัดพันเตาในอดีตเป็นบริเวณบ้านของเศรษฐีคนดังกล่าว ต่อมาจึงได้ตั้งวัดพันเตาขึ้นในสมัยพระเจ้าแสนเมือง ขณะที่อีกตำนานหนึ่ง กล่าวว่า เดิมเป็นสถานที่ตั้งเส้าจำนวนพันเตาหลอมทองหล่อพระพุทธรูปอัฎฐารส ซึ่งประดิษฐานในวิหารวัดเจดีย์หลวง เมื่อทำการหล่อพระเสร็จแล้ว ชาวเมืองจึงสร้างวัดขึ้นในบริเวณนั้นเรียกว่า "วัดพันเตา"



เสนาสนะที่สำคัญ คือ วิหารหอคำสร้างด้วยไม้สัก เดิมเป็นหอคำของพระเจ้ามโหตรประเทศ ท่านได้สร้างขึ้นเมื่อได้เลื่อนฐานันดรศักดิ์และตำแหน่งจากพระยาอุปราชขึ้นเป็นพระยาเชียงใหม่มหาวงศ์ จึงได้สร้างหอคำขึ้นไว้ประดิษฐานพระพุทธรูป ปัจจุบันวิหารหอคำนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน เมื่อ พ.ศ. 2523 ภายในประดิษฐาน พระเจ้าปันเต้า (พันเท่า) มีความหมายอันเป็นมงคลว่า "มีความสำเร็จเพิ่มพูนเป็นร้อยเท่าพันเท่า" ด้านหลังวิหารหอคำ คือเจดีย์ทรงระฆังบนฐานแปดเหลี่ยม รายล้อมด้วยเหล่าเจดีย์ราย



วัดยังมีโบราณวัตถุ คือ ธรรมาสน์โบราณ สร้างโดยพระเจ้าอินทวิชยานนท์ เมื่อ พ.ศ. 2416 โดยสร้างคู่กับองค์พระประธานในวิหารหอคำ

สลากไทพลัส 80 บาททุกใบไม่มีบวกเพิ่ม ถูกรางวัลรับเต็ม

ติดต่อทาง LINE:@STPLUS

www.สลากไทพลัส.com


อ่านบทความเพิ่มเติมของ สลากไทพลัส


วันพุธที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2566

ประวัติความเป็นมาของวัดเจดีย์หลวงวรวิหาร โดย สลากไทพลัส กองสลากไทพลัส

สลากไทพลัส จะมาเสนอความเป็นมาของวัดเจดีย์หลวงสร้างอยู่กลางใจเมืองเชียงใหม่ ซึ่งแต่เดิมถือว่าเป็นศูนย์กลางทางการปกครองของอาณาจักรล้านนา ตั้งอยู่เลขที่ 103 ถนนพระปกเกล้า ตำบลพระสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ 



ประวัติ

หออินทขิล เสาหลักเมืองเชียงใหม่ และต้นยางนาขนาดใหญ่ ตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าวัด

จุลศักราช 289 (พ.ศ. 1874) พญาแสนภูโปรดให้สร้างเมืองเชียงแสน และต่อมาอีก 4 ปีทรงสร้างมหาวิหารขึ้นในกลางเมืองเชียงแสน[2] คือวัดเจดีย์หลวงองค์ที่ 1 ซึ่งอยู่ในวัดพระเจ้าตนหลวง เมืองเชียงแสน สมัยพระเจ้าแสนเมืองมาซึ่งเป็นโอรสของพญากือนา ขณะที่มีพระชนมมายุ 39 ปี พระองค์โปรดให้สร้างพระเจดีย์หลวงกลางเมืองเชียงใหม่ แต่ยังไม่ทันแล้วเสร็จดีก็สวรรคต พระราชินีผู้เป็นอัครมเหสีของพระองค์ ได้โปรดให้ทำยอดพระธาตุเจดีย์หลวงจนแล้วเสร็จ

ปี พ.ศ. 2055 พระเมืองแก้ว พร้อมด้วยชาวเมืองทั้งหลาย เอาเงินมาทำกำแพงล้อมพระธาตุเจดีย์หลวง 3 ชั้นได้เงิน 254 กิโลกรัม จากนั้นจึงได้เอาเงินมาแลกเป็นทองคำจำนวน 30 กิโลกรัม แล้วแผ่เป็นแผ่นทึบหุ้มองค์พระธาตุเจดีย์หลวง เมื่อรวมกับทองคำที่หุ้มองค์พระเจดีย์หลวงอยู่เดิม ได้น้ำหนักทองคำถึง 2,382.517 กิโลกรัม

ประมาณ พ.ศ. 2088 สมัยพระนางจิรประภามหาเทวี ได้เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในเชียงใหม่ จึงทำให้ยอดพระเจดีย์หลวงหักพังทลายลงมา หลังจากนั้นพระเจดีย์หลวงจึงถูกทิ้งให้ร้างมานานกว่า 400 ปี กระทั่งปี พ.ศ. 2423 พระเจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ องค์ที่ 7 ได้รื้อพระวิหารหลังเก่าและสร้างวิหารหลวงขึ้นใหม่ด้วยไม้ทั้งหลัง

ช่วงปี พ.ศ. 2471-2481 สมัยพลตรีเจ้าแก้วนวรัฐ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์สุดท้าย ถือได้ว่าเป็นทศวรรษแห่งการบูรณะครั้งสำคัญของวัดพระเจดีย์หลวง ได้มีการรื้อถอนสิ่งปรักหักพัง แผ้วถางป่าที่ขึ้นปกคลุมโบราณสถานต่าง ๆ ออก แล้วสร้างเสริมเสนาสนะขึ้นใหม่ให้เป็นวัดสมบูรณ์แบบในเวลาต่อมา

พระเจดีย์หลวง ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่โดยกรมศิลปากร เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2533 ใช้งบประมาณในการบูรณะถึง 35 ล้านบาท แล้วเสร็จเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2535

แต่เดิมวัดเจดีย์หลวง ชื่อ “โชติการามวิหาร” แปลว่า พระอารามที่มีแต่ความรุ่งเรืองสว่างไสว เนื่องจากเป็นสถานที่บรรจุพระเกศาธาตุ และพระธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีเรื่องเล่าต่อกันมาว่าในกาลครั้งหนึ่งเมื่อพระเจ้าอโศกมหาราชส่งสมณะทูต 8 รูป ภายใต้การนำพระโสณะ และ พระอุตตะระ เข้ามาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในเขตสุวรรณภูมิ รวมทั้งภูมิภาคนี้ด้วย ได้นำเอาพระบรมธาตุมาบรรจุไว้ในองค์เจดีย์องค์เล็กสูง 3 ศอก ที่สร้างขึ้น ณ บริเวณอันเป็นที่ตั้งของพระธาตุเจดีย์หลวงในปัจจุบัน ในเวลานั้นมีชายผู้หนึ่งอายุ 120 ปี มีใจเลื่อมใส ได้แก้เอาผ้าห่มชุบน้ำมันจุดบูชา และได้ทำนายว่า ต่อไปในภายภาคหน้าตรงนี้จะเป็นอารามใหญ่ชื่อโชติการาม พวกลัวะทั้งหลายเอาข้าวของบูชาพระธาตุพระพุทธเจ้า จึงก่อเจดีย์หลังหนึ่งสูง 3 ศอกไว้เป็นที่สักการบูชา

นอกจากนี้ยังมีความหมายอีกนัยหนึ่งของคำว่า “โชติการาม” คือ เวลาที่มีการจุดประทีปโคมไฟไปประดับบูชาองค์พระธาตุเจดีย์หลวง จะปรากฏแสงสีสว่างไสว มองเห็นองค์พระเจดีย์คล้ายเชิงเทียนที่มีเปลวไฟลุกโชติช่วงสว่างไสว ดูแล้วมีความงดงามยิ่งนัก สามารถมองเห็นได้แต่ไกล

ต่อมาได้มีการเปลี่ยนชื่อมาเป็น “วัดเจดีย์หลวง” เนื่องจากในภาษาเหนือหรือคำเมือง หลวงแปลว่า “ใหญ่” หมายถึง พระธาตุเจดีย์ที่มีขนาดใหญ่



พระธาตุเจดีย์หลวง

พระธาตุเจดีย์หลวงนั้นถือว่าเป็นพระธาตุที่มีความสูงที่สุดในภาคเหนือ หรือล้านนา คือ สูงประมาณ 80 เมตร เมตร ฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างประมาณด้านละ 60 เมตร ถูกสร้างขึ้นในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 20 ถือว่าเป็นเจดีย์ที่มีความสำคัญที่สุดของเมืองเชียงใหม่



วัดเจดีย์หลวง เชียงใหม่

พระธาตุเจดีย์หลวงนั้นถูกสร้างขึ้นในในรัชสมัยพญาแสนเมืองมา (พ.ศ. 1928 - 1945) กษัตริย์องค์ที่ 7 แห่งราชวงศ์มังราย ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่ปกครองเมืองเชียงใหม่ในขณะนั้น สร้างขึ้นเพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้พญากือนา พระราชบิดา ซึ่งมีตำนานเล่ามาว่า พญากือนาซึ่งได้สวรรคตไปแล้ว ได้ปรากฏตัวแก่พ่อค้าชาวเชียงใหม่ที่เดินทางไปค้าขายที่พม่า ให้มาบอกว่าแก่พญาแสนเมืองมาผู้เป็นโอรสว่า ให้สร้างเจดีย์ไว้ท่ามกลางเวียง ให้สูงใหญ่พอให้คนที่อยู่ไกล 2,000 วา สามารถมองเห็นได้ แล้วอุทิศบุญกุศลเหล่านี้ให้แก่พญากือนา เพื่อให้พญากือนานั้นสามารถไปเกิดในเทวโลกได้ แต่พญาแสนเมืองมาเสด็จสวรรคตเสียก่อน พระนางเจ้าติโลกจุฑาราชเทวีผู้เป็นมเหสีได้สืบทอด เจตนารมณ์สร้างต่อ จนเสร็จในรัชสมัยพญาสามฝั่งแกน ใช้เวลาสร้าง 5 ปี


ต่อมาได้มีการปฏิสังขรณ์ในสมัยพญาติโลกราช (พ.ศ. 1984 - 2030) พระองค์โปรดให้หมื่นด้ามพร้าคต นายช่างใหญ่ทำการปฏิสังขรณ์ โดยมีพระมหาสวามีสัทธัมกิติ เจ้าอาวาสองค์ที่ 7 ของวัดโชติการาม (วัดเจย์หลวง) เป็นกำลังสำคัญในการควบคุมดูแล และประสานงาน การปฏิรูปและก่อสร้างครั้งนี้ได้สร้างขยายเจดีย์ให้ใหญ่กว่าเดิม ใช้เวลาในการก่อสร้าง 3 ปี จึงแล้วเสร็จ

ในสมัยมหาเทวีจิรประภา รัชกาลที่ 15 แห่งราชวงศ์มังราย เกิดพายุฝนตกหนัก แผ่นดินไหว พระมหาเจดีย์หลวงได้พังทลายลงมาเหลือเพียงครึ่งองค์ จากนั้นก็ถูกปล่อยทิ้งร้างไปนานกว่า 4 ศตวรรษ พระมหาเจดีย์หลวงที่เห็นปัจจุบันกรมศิลปกรเพิ่งจะบูรณปฏิสังขรณ์เสร็จไปเมื่อ พ.ศ. 2535



เจดีย์หลวงตามคติความเชื่อเรื่องจักรวาลวิทยาของชาวลัวะ

คติความเชื่อเรื่องจักรวาลวิทยา ในยุคแรกใช้อินทขีลเป็นสัญลักษณ์สะท้อนความเชื่อดั้งเดิมของชาวลัวะซึ่งได้ผสมผสานกับความเชื่อของพราหมณ์ ในระยะต่อมาเมื่อพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาก ได้ใช้พระธาตุเจดีย์หลวงเป็นสัญลักษณ์ของศูนย์กลางจักรวาล คตินี้เห็นได้ชัดจากการสร้างเจดีย์หลวงให้สูงใหญ่ ตั้งอยู่กลางใจกลางเมือง เช่นเดียวกับเขาพระสุเมรุ ซึ่งเป็นศูนย์กลางจักรวาล

ปัจจุบันบริเวณวัดเจดีย์หลวงกลางเมืองเชียงใหม่ มีสิ่งสักการะหลากหลายได้แก่ เจดีย์หลวง อินทขีล ต้นยาง กุมภัณฑ์ พระฤๅษี ซึ่งสะท้อนพัฒนาการคติจักรวาลได้ปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ที่แวดล้อมของเมือง

คติเจดีย์หลวงในฐานะศูนย์กลางจักรวาล ปรากฏในคัมภีร์มหาทักษาเมือง กล่าวถึง การสร้างวัดสำคัญในเมืองเชียงใหม่ 9 แห่ง โดยกำหนดให้สอดคล้องกับชัยภูมิ และความเชื่อเรื่องทิศทั้ง 4 และทิศเฉียงอีก 4 เป็น 8 เมื่อทิศทั้ง 8 มาบรรจบกัน เกิดจุดศูนย์กลางรวมกันเป็น 9 ถือเป็นเลขมงคล ตำแหน่งจุดศูนย์กลางเมือง เป็นสะดือเมือง กำหนดให้เป็นเกตุเมืองตรงกับวัดเจดีย์หลวง วัดทั้ง 8 แห่งที่สร้างตามทักษาเมือง 


สลากไทพลัส 80 บาททุกใบไม่มีบวกเพิ่ม ถูกรางวัลรับเต็ม

ติดต่อทาง LINE:@STPLUS

www.สลากไทพลัส.com


อ่านบทความเพิ่มเติมของ สลากไทพลัส






ประวัติความเป็นมาของวัดอุโมงค์ โดย สลากไทพลัส กองสลากไทพลัส

 สวัสดีวันนี้ สลากไทพลัส วัดอุโมงค์ (สวนพุทธธรรม) เป็นวัดเก่าแก่ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองเชียงใหม่ และตั้งอยู่บริเวณเชิงดอยสุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ 




ประวัติ

ราวปี พ.ศ. 1839 พระยามังรายทรงสร้างอาณาจักรล้านนาร่วมกับพระสหาย คือ พ่อขุนรามคำแหงมหาราช กษัตริย์ปกครองสุโขทัย และพญางำเมือง กษัตริย์ปกครองพะเยา มาสร้างเมืองเวียงเหล็ก (บริเวณวัดเชียงมั่นในปัจจุบัน) และตั้งชื่อเมืองว่า “นพบุรี ศรีนครพิงค์” ท่านมีความใฝ่ในศาสนาพุทธ จึงทรงทำนุบำรุง ส่งเสริมศาสนาให้รุ่งเรืองในล้านนา ในขณะนั้น ทางฝ่ายพระเจ้ารามคำแหงมหาราชได้ส่งคนนิมนต์พระสงฆ์จากลังกามาอาศัยอยู่ใน จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อที่พระสงฆ์ได้เผยแพร่พระพุทธศาสนาในสุโขทัย เมื่อพระยามังรายทราบข่าวดังกล่าว จึงส่งคนไปนิมนต์พระลังกาจากพระเจ้ารามคำแหง 5 รูป โดยมีพระกัสสปะเถระเป็นหัวหน้าคณะสงฆ์นี้ โดยจำพรรษาที่วัดการโถม ต่อมาพระยามังรายสร้างวัดเวฬุกัฏฐาราม (ปัจจุบัน คือ วัดอุโมงค์) เมื่อสร้างเสร็จจึงอาราธนาพระมหากัสสปะเถระจำพรรษาที่วัดแห่งนี้



ต่อมาเมื่อพระเจ้ามังรายสวรรคต ศาสนาพุทธขาดการทำนุบำรุง เพราะมัวแต่ทำศึกสงครามกันเองในเชื้อพระวงศ์ในการแย่งชิงราชสมบัติ จนถึงสมัยพระเจ้าผายู ศาสนาพุทธได้รับการฟื้นฟูจนถึงสมัยพญากือนาธรรมาธิราช (ประมาณ พ.ศ. 1910) ท่านมีความเลื่อมใสในพระมหาเถระจันทร์ พระเจ้ากือนาจึงสั่งให้คนบูรณะวัดเวฬุกัฏฐาราม เพื่ออาราธนาพระมหาเถระจันทร์จำพรรษาทีวัดแห่งนี้ และตั้งชื่อวัดนี้ว่า “วัดอุโมงค์เถรจันทร์” ตามชื่อของพระมหาเถระจันทร์ มีการซ่อมแซมเจดีย์โดยการพอกปูน สร้างอุโมงค์ไว้ทางทิศเหนือจากเจดีย์ ในอุโมงค์มีทางเดิน 4 ช่องซึ่งเชื่อมต่อกันได้


ราชวงศ์มังรายล่มสลาย เมื่อปี พ.ศ. 2106 เปลี่ยนเป็นพม่าปกครองล้านนา ทำให้วัดอุโมงค์ขาดการทำนุบำรุง ปล่อยให้ร้าง ปรักหักพังเรื่อย ๆ ต่อมา เจ้าชื่น สิโรรส ได้จัดการแผ้วถางบูรณะวัดนี้ และสร้างกุฏิหลังใหม่เพิ่ม จากนั้นจึงนินต์พระภิกษุปัญญานันทะจากสวนโมกข์ อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี มาจำพรรษา และท่านได้เผยแพร่ศาสนาสืบไป



ภาพจิตรกรรมภายในอุโมงค์

จิตรกรรมฝาผนังวัดอุโมงค์ในส่วนที่เหลือหลักฐานให้ชมในปัจจุบันอยู่บริเวณเพดานโค้งภายในอุโมงค์ ตัวอุโมงค์ตั้งอยู่บริเวณต่อเนื่องกับเจดีย์ทางทิศเหนือ โดยหันทางเข้าหลักไปยังทิศตะวันออกจำนวน 3 อุโมงค์ในด้านหน้า ซึ่งอุโมงค์กลาง (อุโมงค์ที่ 4) มีขนาดใหญ่ที่สุด ซึ่งสามารถเห็นได้ เพียง 3 อุโมงค์เท่านั้น คือ อุโมงค์ที่ 1, 2, และ 3 นอกเหนือจากนี้ไม่สามารถเห็นได้ อีกทั้งภาพหลักฐานจิตรกรรมฝาผนังในอุโมงค์มีสภาพลบเลือนไปมาก จำเป็นต้องใช้เทคนิคคัดลอกจิตรกรรมด้วยมือและคอมพิวเตอร์ควบคู่กัน โดยการคัดลอกลายเส้น และการคัดลอกเป็นภาพสี จึงทำให้ยังสามารถเห็นภาพจิตรกรรมฝาผนังอันเก่าแก่ของศิลปะล้านนาซึ่งมีอายุกว่า 500 ปีได้ชัดเจนมากขึ้นกว่าเดิม


จิตรกรรมผาผนังภายในอุโมงค์ของวัดอุโมงค์ตามสภาพปัจจุบันนั้น อยู่ในสภาพที่ชำรุดลบเลือนมาก จนหลายคนเข้าใจว่าคงไม่มีภาพจิตรกรรมหลงเหลือแล้ว แต่จากการสำรวจของโครงการย้อนรอยอดีตจิตรกรรมวัดอุโมงค์ กลับพบหลักฐานของจิตรกรรมฝาผนังมากกว่าที่คาดคิด เป็นเหตุให้กรมศิลปากรช่วยเหลือโดยจัดสรรงบประมาณแผ่นดิน เพื่อมาทำการสำรวจ และอนุรักษ์จิตรกรรมแห่งนี้เมื่อปลายปี พ.ศ. 2542-กลางปี พ.ศ. 2543


นอกจากนี้คุณภัทรุตม์ สายะเสวี ซึ่งเป็นหัวหน้าโครงการอนุรักษ์จิตรกรรมวัดอุโมงค์ของกรมศิลปากรในขณะนั้นได้เข้าร่วมทำงานอนุรักษ์จิตรกรรมอีกด้วย โดยการให้คำแนะนำและดูแลการปฏิบัติงานของทีมงานโครงการย้อนรอยอดีตจิตรกรรมวัดอุโมงค์ เป็นอย่างดี


ส่วนการอนุรักษ์งานจิตรกรรมฝาผนังวัดอุโมงค์นั้นได้นำกระบวนการทางเคมีและศิลปะ ซึ่งมีขั้นตอนตั้งแตทำการสำรวจ, ทำความสะอาดภาพจิตรกรรม, เสริมความแข็งแรงของผนังปูนฉาบ, ชั้นสีของงานจิตรกรรมให้มั่นคงแข็งแรงพร้อมทั้งบันทึกหลักฐานตลอดงานการอนุรักษ์ทั้งภาพถ่าย แผนผัง และภาพลายเส้น ระหว่างขั้นตอนดังกล่าวทีมงานได้ค้นพบภาพจิตรกรรมฝาผนังเพิ่มเติมด้วยความบังเอิญ คือ เหตุที่ทำให้อุโมงค์ชำรุดเนื่องจากมีรอยร้าวที่อุโมงค์ เมื่อฝนตกทำให้น้ำไหลซึมเข้ารอยร้าว จึงเกิดการสะสมของหินปูนที่เคลือบลายจิตรกรรมจนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ทีมงานจึงเอาคราบหินปูนออกโดยใช้น้ำยาเคมีที่ทำให้คราบหินปูนอ่อนตัวลง จากนั้นใช่มีดฝานหินปูนออกทีละนิดจนหมด จึงปรากฏภาพจิตรกรรมที่สวยงาม

สลากไทพลัส 80 บาททุกใบไม่มีบวกเพิ่ม ถูกรางวัลรับเต็ม

ติดต่อทาง LINE:@STPLUS

www.สลากไทพลัส.com


อ่านบทความเพิ่มเติมของ สลากไทพลัส

ประวัติความเป็นมาของวัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร โดย สลากไทพลัส กองสลากไทพลัส






ประวัติความเป็นมาของวัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร โดย สลากไทพลัส กองสลากไทพลัส

 สลากไทพลัส จะมาเสนอความเป็นมาของวัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร  เป็นผู้สร้างขึ้น เมื่อปี พ.ศ. 1949 
ที่อยู่  ถนนสุริยพงษ์ ตำบลในเวียง อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน





วัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร อยู่ตรงข้ามพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน เดิมชื่อ วัดหลวงกลางเวียง เจ้าผู้ครองนครน่าน พญาภูเข่ง เป็นผู้สร้างขึ้น เมื่อปี พ.ศ. 1949 พระวิหารหลวงวัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร เป็นวิหารขนาดใหญ่ รูปทรง สร้างตามสถาปัตยกรรม ทางภาคเหนือ ลักษณะภายในโอ่โถง ด้านหน้ามีสิงห์คู่ ยืนตรงเชิงบันได ด้านละตัว มีทางเข้า 3 ทาง ประตูกลาง ทำเป็นประตูใหญ่ และประตูเล็ก อยู่ด้านซ้ายและด้านขวา มีทางขึ้นเป็นประตูเล็ก ๆ ตรงข้ามพระประธาน ด้านทิศตะวันออกและตะวันตกอีก 2 ข้าง ทำหลังคาซ้อนกัน 2 ชั้น มุขลดด้านหน้า และด้านหลัง หน้าบัน ตีด้วยแผ่นกระดานเรียงต่อกัน แล้วประดับที่ขอบเสา ด้านหน้าทุกต้น ตามลักษณะ สถาปัตยกรรมล้านนาไทย ภายในพระวิหารกว้างขวาง มีเสาปูนกลมขนาดใหญ่ ขนาด 2 คนโอบรอบ จำหลัก ลวดลายปูนปั้นนูนสูงไว้ เหนือจากระดับพื้นพระวิหาร 1.50 เมตร เป็นลวดลาย กนกระย้าย้อย เหมือนลวดลาย ที่เสาในวิหารวัดภูมินทร์

ภายในวัดประดิษฐาน เจดีย์ช้างค้ำ ซึ่งเป็นศิลปสมัยสุโขทัย อายุประมาณพุทธศตวรรษที่ 20 รอบเจดีย์ มีรูปปั้นช้างปูนปั้น เพียงครึ่งตัวประดับอยู่โดยรอบ นอกจากนี้ยังมีพระพุทธรูปทองคำปางลีลา คือ พระพุทธนันทบุรีศรีศากยมุนี ซึ่งเป็นทองคำ 65 % สูง 145 เซนติเมตร ยอดพระโมฬีทำเสริมเมื่อ พ.ศ. 2442 หนัก 69 บาท เจ้างั่วฬารผาสุม เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 14 แห่งราชวงค์ภูคา เป็นผู้สร้าง เมื่อวันพุธ เดือน 6 เหนือ พ.ศ. 1969 เป็นศิลปะสุโขทัย ประดิษฐานอยู่ที่หอพระไตรปิฎก ใหญ่ที่สุดในประเทศ



พระธาตุเจดีย์ช้างค้ำวรวิหาร เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีลิกธาตุไว้ภายใน นับเป็น ปูชนียสถาน สำคัญ เป็นเจดีย์ ที่ได้รับอิทธิพลทางด้านศิลปะสุโขทัย จากเจดีย์ทรงลังกา คือเจดีย์วัดช้างล้อมนั่นเอง พระธาตุเจดีย์ สร้างด้วยอิฐถือปูน มีสัณฐานเป็นรูปสี่เหลื่ยมจัตุรัส ซ้อนกัน 3 ชั้น กว้างด้านละ 9 วา ฐานจากชั้นแรกสูงถึงชั้นสอง มีรูปช้างค้ำอยู่ในลักษณะ เหมือนฐานรองรับไว้ด้านละ 6 เชือก รวมทั้งหมด 24 เชือก ช้างแต่ละตัว โผล่ส่วนหัว ลอยออกมาครึ่งตัว ขาหน้าทั้งคู่ ยื่นพ้นออกมาจากเหลี่ยมฐาน เหนือขึ้นไปเป็นฐานปัทม์ (ฐานบัว) ซ้อนกัน 3 ชัน และเป็นองค์ระฆังแบบลังกา ต่อจากองค์ระฆัง ทำเป็นฐานเขียง รองรับมาลัยลูกแก้ว ลดหลั่นกันไป เป็นส่วนยอด ปัจจุบันพระธาตุเจดีย์ช้างค้ำ ได้รับการบูรณะซ่อมแซม และหุ้นด้วยแผ่นทองเหลืองทั้งองค์ มีความสวยงามมาก


หอไตรวัดช้างค้ำวรวิหาร สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ ดังปรากฏในพระประวัติ ของพระองค์ว่า "ร.ศ. 127 พ.ศ. 2453 ก่อสร้างหอพระไตรปิฏก ในบริเวณวัดช้างค้ำ 1 หลัง 8 ห้อง ยาว 16 วา 1 ศอก กว้าง 5 วา 2 ศอก สูงตั้งแต่ดินถึงอกไก่ 13 วา หลังคาทำเป็นชั้น ๆ ก่ออิฐทาสี เครื่องบนไม้สัก มุงกระเบื้องไม้สัก ทำอย่างแน่นหนา มีเพดานจั่ว 2 ข้าง และเพดาน ทำด้วยลวดลายต่าง ๆ พระสมุห์อิน เจ้าอาวาสวัดหัวข่วง กับจีนอิ๋วจีนซาง เป็นสล่าสิ้นเงิน 12,558 บาท



ลักษณะโครงสร้างสถาปัตยกรรมมีลักษณะอย่างเดียวกับวิหารและโบสถ์ ตั้งอยู่ด้านหน้า คู่กับ พระวิหารหลวง อาคารก่ออิฐโบกปูน ยกพื้นสูงมีสิงห์ยืนอยู่ด้านหน้า ตรงเชิงบันใดด้านละ 1 ตัว ตั้งเสาราย รับหลังคาเชิงชายแทนผนัง และก่อผนังปิด ทำเป็นห้องไว้พระธรรม และพระไตรปิฏก ตรงแนวเสาที่รับคาน มีทางเข้าด้านหน้าเป็นประตูทางเดียว บานประตูสลักเป็นรูปเทวดา 2 องค์ และมีลายปูนปั้น เป็นรูปยอดปราสาท ทำเป็นชั้นติดหน้าต่างด้านละ 3 บาน ผนังด้านหลังปิดทึบ ด้านนอกสองข้างทาง ระหว่างเสารายและผนัง เป็นทางเดินถึงกันได้ตลอดโดยรอบ อาคารสูงหลังคาช้อน 3 ชั้น ไม่มีมุขลด ที่หน้าบัน ใช้แผ่นไม้เรียงต่อกัน เป็นแผ่นๆ ประดับลายปูนปั้น เป็นรูปกนกล้อพระยาครุฑ ระหว่างช่วงเสาประดับด้วยแผ่นไม้จำหลัก ลายกนก เป็นรูปสามเหลี่ยม สลับลายพุ่มข้าวบิณฑ์คว่ำ และรูปพระยาครุฑห้อยลงมาตามแบบสถาปัตยกรรมของล้านนา ภายในมีลักษณะส่วนกว้างแคบ ส่วนยาวลึก เข้าไปภายใน และส่วนสูงชะลูดขึ้นไปมาก ใช้เป็นที่เก็บ พระไตรปิฏก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นใบลาน จารอักษรตัวธรรมมีอยู่เป็นจำนวนมาก ปัจจุบันได้ปรับปรุงเป็นวิหาร ใช้เป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธนันทบุรีศรีศากยมนี

สลากไทพลัส 80 บาททุกใบไม่มีบวกเพิ่ม ถูกรางวัลรับเต็ม

ติดต่อทาง LINE:@STPLUS

www.สลากไทพลัส.com



อ่านบทความเพิ่มเติมของ สลากไทพลัส

ประวัติความเป็นมาของวัดพระลอย โดย สลากไทพลัส กองสลากไทพลัส




วันอังคารที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2566

ประวัติความเป็นมาของวัดบางปรงธรรมโชติการาม โดย สลากไทพลัส กองสลากไทพลัส

สวัสดีวันนี้ สลากไทพลัส จะมาเสนอความเป็นมาของวัดบางปรงธรรมโชติการามตั้งอยู่ในตำบลบางพระ อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา





 วัดบางปรงธรรมโชติการาม หรือ วัดบางปรง เป็นวัดราษฎร์สังกัดคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย ตั้งอยู่ในตำบลบางพระ อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา มีเนื้อที่ในการสร้างวัด จำนวน 26 ไร่ 60 ตารางวา วัดตั้งอยู่ริมคลองบางพระ (อยู่ทางฝั่งทิศตะวันตกของคลอง) ซึ่งจะไหลลงสู่แม่น้ำบางปะกงที่ตั้งอยู่ห่างออกไปทางทิศตะวันออกของวัดประมาณ 2.8 กิโลเมตร




วัดบางปรงตั้งวัดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2450 ตรงกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2547 อย่างไรก็ตาม จากหลักฐานทางโบราณคดี ทำให้สันนิษฐานได้ว่า วัดบางปรงอาจสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลายถึงรัตนโกสินทร์ตอนต้น หลักฐานทางโบราณคดีในวัดที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในปัจจุบันได้แก่ อุโบสถ (หลังเก่า) วัดบางปรงได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 119 ตอนพิเศษ 129ง วันที่ 26 ธันวาคม 2545 เรื่อง ขึ้นทะเบียนโบราณสถานและกำหนดเขตที่ดินโบราณสถาน (โบราณสถานวัดบางปรง)



อุโบสถ (หลังเก่า) ปัจจุบันเป็นวิหาร หันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือสู่คลองบางพระ มีลักษณะเป็นอาคารทรงไทยก่ออิฐถือปูนขนาดใหญ่ มีพาไลโดยรอบ หลังคาอุโบสถเป็นทรงจั่วมุขลดมุงกระเบื้องดินเผาแบบเกล็ดปลา หน้าบันทั้งหน้าและหลังประดับลายเทพนม ล้อมรอบด้วยลายเครือเถา พื้นปิดกระจกสี (สีฟ้าหรือสีน้ำเงินเป็นหลัก) คอสองประดับด้วยปูนปั้นลายใบไม้ ที่ผนังสกัดหน้าด้านนอกทำเป็นซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัย มีเสมาทำจากหินทรายสีแดงประดิษฐานอยู่ในซุ้มทรงกูบด้านหน้าซุ้มพระพุทธรูป ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปหลายองค์และรูปปั้นพระสงฆ์ (หลวงพ่อมี หลวงพ่ออุปัชฌาหมวดอยู่ หลวงพ่อเล็ก น้อยใจบุญ และพระวินัยสารเวที) มีพระประธาน คือ หลวงพ่ออู่ทองศักดิ์สิทธิ์ เป็นพระพุทธรูปแบบศิลปะอู่ทอง เนื้อสำริด


สลากไทพลัส 80 บาททุกใบไม่มีบวกเพิ่ม ถูกรางวัลรับเต็ม

ติดต่อทาง LINE:@STPLUS

www.สลากไทพลัส.com



อ่านบทความเพิ่มเติมของ สลากไทพลัส




ประวัติความเป็นมาของวัดพระลอย โดย สลากไทพลัส กองสลากไทพลัส

สวัสดีวันนี้ สลากไทพลัส จะมาเสนอความเป็นมาของวัดพระลอย เป็นวัดราษฎร์สังกัดคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย ตั้งอยู่ในตำบลรั้วใหญ่ อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี มีที่ดินตั้งวัดมีเนื้อที่ 40 ไร่






วัดพระลอย ไม่ทราบประวัติการสร้างวัดที่แน่ชัด วัดมีอุโบสถที่ปรักหักพัง สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยพระเจ้าอู่ทอง ทางวัดได้ปฏิสังขรณ์โดยสร้างอุโบสถใหม่ครอบไว้ และยังมีอุโบสถหลังใหม่ ที่ประดิษฐาน พระพุทธราชมงคล พระประธานอุโบสถ หน้าบันอุโบสถหลังเก่าทำด้วยไม้ พิงผนังโบสถ์อยู่



ข้อมูลของกรมการศาสนา ระบุว่าตั้งวัดเมื่อ พ.ศ. 2350 ในอดีตเรียกกันว่า วัดชลอสาเหตุที่สร้างวัดนี้น่าจะมาจากที่มีพระพุทธรูปปางนาคปรกเนื้อหินทรายขาวลอยมาตามแม่น้ำท่าจีน จึงได้ทำพิธีอาราธนาขึ้นมาจากแม่น้ำ สันนิษฐานว่าเป็นพระพุทธรูปสมัยลพบุรี ยังมีตำนานเล่าขานกันว่า บริเวณวัดพระลอยในปัจจุบัน เดิมมีวัดเก่าแก่ อยู่ 2 วัดคือ วัดกระโจมทอง และวัดมาลา ต่อมาวัดทั้งสองร้างไป จึงได้รวมวัดเป็นวัดพระลอย วัดมีพระพุทธรูปนาคปรก 2 องค์ องค์ล่างทางวัดจำลองจากองค์จริงไว้ เพื่อให้ชาวบ้านได้ ปิดทอง ส่วนองค์บนเป็นพระนาคปรกองค์จริง ประดิษฐานอยู่กับวัดมานานแล้วในวิหาร ชาวบ้านมากราบไหว้ขอพรเรื่องค้าขาย หน้าที่การงาน พระนาคปรก สูงประมาณ 39 นิ้ว หน้าตักกว้างประมาณ 19 นิ้ว ซึ่งได้รับอิทธิพลรูปแบบจากศิลปะบายนของขอม ราวพุทธศตวรรษที่ 18 วัสดุทำจากหินทราย พุทธลักษณะที่ปรากฏคือ ประทับนั่งอยู่บนขนดนาค พระพักตร์ค่อนข้างสี่เหลี่ยม พระขนงต่อกันเป็นปีกกา พระเนตรยาว พระนาสิกโด่ง พระโอษฐ์หนา แย้มสรวลเล็กน้อย



วัดยังมีสิ่งก่อสร้างที่จำลองภาพนรก-สวรรค์ภูมิ ส่วนบริเวณท่าน้ำด้านหน้าวัด มีอุทยานมัจฉา


สลากไทพลัส 80 บาททุกใบไม่มีบวกเพิ่ม ถูกรางวัลรับเต็ม

ติดต่อทาง LINE:@STPLUS

www.สลากไทพลัส.com



อ่านบทความเพิ่มเติมของ สลากไทพลัส






ไทยพลัสนิวส์ 10 อาหารที่กินแล้วทำให้ แก่วัย

 ไทยพลัสนิวส์ 10 อาหารที่กินแล้วทำให้ แก่วัย ไทยพลัสนิวส์ 10 อาหารที่กินแล้วทำให้ แก่วัย เรื่องของอาหารการกิน ยังไงก็เป็นเรื่องที่สำคัญ ต่อร...